banner
พฤหัสบดี ที่ 9 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2565 แก้ไข admin

โอกาสทางการศึกษา กับภาระของครอบครัว


 นางสาวทองพูล   บัวศรี

ผู้จัดการการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

          ในช่วงปลายเดือนเมษายน  จนถึงต้นเดือนมิถุนายน  ของทุกปี  โครงการครูข้างถนน/โครงการเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่  ที่ลุยงานกันในพื้นที่ ต้องมาบริหารจัดการ 2 -3 เรื่องด้วยกันตั้งแต่

          - สำรวจเด็กที่ต้องการเข้าเรียน  เพื่อการทำประวัติของเด็ก เป็นรายบุคคล  ทั้งกลุ่มที่มีเอกสาร/กลุ่มที่ไม่มีเอกสาร ทั้งเด็กเร่ร่อนไทย/เด็กเร่ร่อนต่างด้าว และเด็กลูกกรรมกรก่อสร้าง

          - ประสานงานกับโรงเรียน เพื่อนำเด็กเข้าไปสมัครเรียน เด็กที่เข้าใหม่ ทั้งชั้นอนุบาล/ประถมศึกษาปีที่ 1

          - ประสานงานกับโรงเรียน ในกรณีที่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายที่โรงเรียน  ทั้งจังหวัดปทุมธานี/นนท์บุรี/สมุทรปราการ   สิ่งที่ต้องจ่าย  คือ ค่าอุบัติเหตุ/ ค่าครูสอนภาษา/ค่าคอมพิวเตอร์   สำหรับเด็กอนุบาล  คือ ค่าครูพี่เลี้ยง/ค่าที่นอนสำหรับเด็กที่เรียนหนังสือ

          - ประสานงานกับทางโรงเรียนที่เด็กเคยเรียน  และกำลังจะย้ายไปเรียนที่ใหม่  เพราะแหล่งก่อสร้างของพ่อแม่ ย้ายที่ทำงาน  ในแต่ละปี การย้ายต้องเสร็จก่อน เดือนมิถุนายน

          - ประสานงานหาอุปกรณ์การเรียน/กระเป๋านักเรียน  พร้อมชุดนักเรียน  ชุดลูกเสือ/ชุดยุวกาชาด   สำหรับทางโครงการฯ  ขอพิจารณาเป็นรายครอบครัว  เริ่มตั้งแต่ ยายดูแลตามลำพัง  สำหรับชุดนักเรียน ครูยังเน้นไปที่โรเรียนเพราะมีค่าชุดนักเรียนที่จ่ายให้เบิกกับโรงเรียน   กลุ่มที่แม่เลี้ยงเดียว/พ่อเลี้ยงเดียว/กลุ่มที่เด็กเลี้ยงเด็ก (เด็กเป็นหัวหน้าครอบครัว )  ดูเฉพาะกรณีศึกษาที่หนักจริง จริง   ในส่วนนี้ครูใช้เงินที่ขอมาจากกองทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์  ในแต่ละปี

 

          สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2565

            ด้วยทางโครงการฯทั้ง 2 โครงการ  เข้าลุยพื้นที่อย่างต่อเนื่อง  ตั้งแต่ แคมป์คนงานก่อสร้าง ที่เซนทาโร วิภาวดี  มีเด็กที่เข้าเรียนโรงเรียนประชาอุทิศ 5 คน  เหลือเรียนต่อเนื่อง 4 คนเท่านั้น / แคมป์คนงานก่อสร้างพฤกษ์ลดา-ชัยพฤกษ์  345  เด็กที่พ่อแม่ทั้งชาวพม่า และกัมพูชา (นำเข้าเรียนที่โรงเรียนชุมชนไมตรีอุทิศ จำนวน 14 คน เด็กไทยที่เรียนต่างจังหวัด 5 คน)  และ แคมป์คนงานก่อสร้างสะพานสูง ที่ผู้ปกครอง นำเด็กเข้าเรียนที่โรงเรียนวัดบัวขาวแล้ว จำนวน 7 คน (ส่วนมากเป็นคนไทย) อีก 2 คนเป็นชาวกัมพูชา  ที่ต้องย้ายและเข้าใหม่ 1 คน  สิ่งที่เป็นภาระของผู้ปกครอง คือเข้าเรียนฟรีตามนโยบาย  แต่เสียสตางค์ จำนวนมาก  ที่เป็นเหตุทำให้ผู้ปกครองไม่ยอมให้เข้าเรียน

          แต่สถานกาณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ปกครองในยามนี้ และต้องประสบภัยส่งผลกระทบ กระเทือนไปถึงเด็ก  เริ่มตั้งแต่

          (1) ผู้ปกครองของเด็กเหล่านี้ถูกไล่ออกจากงาน ไม่มีงานทำ /ไม่มีรายได้  โดยเฉพาะรายได้ที่ต้องมาดูแลคนในครอบครัว  พอให้มีการกินแบบอิ่มท้อง  กลุ่มคนเหล่านี้  ครูเรียกว่า “กลุ่มคนจนแบบเฉียบพลัน”

          (2) ผู้ปกครองเด็ก/ครอบครัวของเด็ก เกิดภัยอุบัติแบบเฉียบพลัน  ซึ่งได้แก่

          -ผู้ปกครองเด็ก คนที่เป็นเสาหลักของครอบครัว  เกิดตายจากการติดโควิด-19  ทำให้บุคคลที่เหลืออยู่ ไม่มีที่พึ่งพา  และก็ยังเป็นผู้เยาว์เสียเป็นส่วนใหญ่  ส่งผลเหล่านี้ไปยัง ตา/ยายา/ย่า  หรือญาติที่ต้องเลี้ยงดูเพิ่มมากขึ้น


          - ผู้ปกครองเด็ก ครอบครัวของเด็ก  ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น  เกิดการติดยาเสพติดด้วยกันทั้งคู่  เกิดภาวะไม่เอาลูก  หรือบางครอบครัวลูกต้องหอบหิ้วชีวิตเหล่านี้ ไปอาศัยอยู่กับญาติ  แค่อาศัยที่นอน  เรื่องการอยู่การกิน/นมของเด็ก/การเรียนของเด็ก เด็กต้องหาอาหารกันเอง หรือต้องจ่ายเป็นค่าอาหารสำหรับสามคนพี่น้อง  ถ้าเด็กอยากเรียน ค่าใช้จ่ายพร้อมอุปกรณ์การเรียนเอง  ภาระทุกอย่างตกอยู่ที่เด็ก คนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว

          - ผู้ปกครองหลายครอบครัวของเด็กใช้ความรุนแรงกับเด็ก  หรือบางครอบครัว เกิดความเครียดในครอบครัว ทำร้ายซึ่งกันและกัน ทั้งการด่า ทอ จนถึงการทำร้ายร่างกาย

          - ผู้ปกครองหลายครอบครัวที่ต้องการให้เด็กออกมาทำงานช่วยเหลือ โดยให้เด็กออกไปขอทาน/ขายดอกจำปี-จำปา/ขายพวงมาลัย  ตามสี่แยกยมราช สี่แยก อสมท.  หรือบางคนต้องออกไปรับจ้างตามที่ต่างๆ

          - มีเด็กบางคนทีใช้เด็กเป็นผู้ขายยาเสพติด  ด้วยเหตุผล  ถ้าเด็กต่ำกว่า 12 ปี  เมื่อเด็กกระทำความผิดทางอาญา ไม่ต้องรับโทษ  กระบวนการในการดูแลเด็กเหล่านี้ยังมีความไม่ชัดเจน  ทำให้เด็กตกเหยื่อของผู้ใหญ่

          (3) เด็กตกเป็นผู้ก่ออาชญากรรมเอง เช่นการลักขโมยสิ่งของ  เพื่อต้องการเอาเงินไปซื้อยาเสพติด  หรือบางคนเอาไปเติมเงินเพื่อเล่นเกม

          สถานการณ์เหล่านี้ส่งผลกับเด็กและเยาวชนที่รุมเร้า กับครอบครัวของเด็ก


 

 

เมื่อเปิดเรียน การศึกษาคือการสร้างโอกาส  แต่ในขณะเดียวกันกลายเป็นภาระของครอบครัว

          ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น  เมื่อเด็กต้องไปเรียนในโรงเรียนอีกครั้ง  ซึ่งพ่อแม่ของเด็กเองก็ประสบปัญหา จากจากที่ไม่มีงานทำ  ทางเศรษฐกิจไม่มีรายได้เข้ามาเลย   รายการที่ต้องจ่ายของครอบครัว

          (1) ค่าใช้จ่ายที่โรงเรียน ต้องจ่าย  เช่น ค่าประกันอุบัติเหตุ / ค่าห้องเรียนคอมพิวเตอร์/ค่าบำรุงคอมพิวเตอร์/ค่าครูสอนภาษา อังกฤษ จีน / ค่าบำรุงห้องสมุด/ค่าบำรุงลูกเสือ/ค่าสหกรณ์  ฯลฯ  เริ่มตั้งแต่  520-750  บาท  (แล้วแต่โรงเรียนเป็นคนกำหนด  )

          สำหรับเด็กอนุบาล  ต้องจ่ายเพิ่มค่าครูพี่เลี้ยง ตั้งแต่  1,200-1,500  บาท ต่อปี

          ค่าชุดที่นอนสำหรับเด็ก  เสียเพิ่ม  ตั้งแต่ 350จนถึง 500  บาท  แล้วแต่การจัดซื้อ

          (2) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวชุดนักเรียนที่ต้องจ่าย  สำหรับ ชุดนักเรียน 2 ชุด เข็มขัด 1 เส้น รองเท้า 1 คู่

ในระดับชั้นอนุบาล  เริ่มตั้งแต่  1,040 บาท  จนถึง  1,500  บาท

ในระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1-3   เฉลี่ย   1,450 - 1,650   บาท

ในระดับชั้นประถมศึกษา  ปีที่ 4-6  เฉลี่ย   1,550 - 1,750   บาท

ในระดับมัธยม ปีที่ 1-3                เฉลี่ย   1,650 - 18,50   บาท

สำหรับชุดลูกเสือ พร้อมอุปกรณ์  เฉลี่ย  1,500-1,850  บาท  แล้วแต่ขนาดของตัวเด็ก  ถ้าเป็นไซส์ใหญ่  ก็ขนาดเพิ่มขึ้น

สำหรับชุดเนตรนารี  พร้อมอุปกรณ์ เฉลี่ย 1,200-1,650  บาท


          (3) ค่าเดินทางพาหนะเด็กไปโรงเรียน  อย่างน้อย  วันละ  20 บาท  กรณีที่เด็กเดินไปเอง

สำหรับเด็กโดยทั่วไป ที่ชุมชนโค้งรถไฟยมราช เฉลี่ย วันละ 50-80  บาท 

สำหรับเด็กมัธยม ทั่วไป  วันละ 100-150  บาท  (บางคนต้อเสียค่ามอเตอร์ไซด์รับจ้าง  )

          การเปิดเรียนครั้งนี้ กับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น  จึงกลายเป็นภาระของครอบครัว

 

ตัวอย่างในการร้องขอชุดนักเรียน/รองเท้า/ชุดเนตรนารี/ค่าบำรุงการศึกษา

          ครอบครัวที่ 1   ครูคะ หลานหนูอยากเรียนต่อแล้วคะ  เมื่อสองปีที่แล้ว  จำใจต้องออกมาเพราะยายป่วย แม่ของเด็กติดคุก เอาน้องของหลานที่เพิ่งเกิดในเรือนจำเอาออกมาเลี้ยง  ค่าใช้จ่ายทั้งหมด จึงไม่พอกับรายได้   น้องชายคนเล็กถูกรถชน  แล้วก็ออกจากโรงเรียนกลางคัน  แล้วแถมด้วยไปพาผู้หญิงมาดูแลด้วย  

          หลานจำเป็นต้องออกจากโรงเรียน มาสองปีเต็ม  เขาอายุยังเพียง 14 ปี  ปีนี้ยายอนุญาตให้เรียน  กับไปเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ใหม่  แต่หนูไม่มีเงินเลย ที่จะซื้อชุดนักเรียน/รองเท้า/กระเป๋า/  และอุปกรณ์  สำหรับกรณีนี้ คนเดียว กว่า 2,200  บาท  ครูขอบคุณนะที่สร้างโอกาสให้เด็กอีกครั้ง

 

          ครอบครัวที่ 2  เป็นยายกับตา ที่ดูแลหลาน 4 คน หลานคนโต ต้องออกจากโรงเรียน ได้เรียนแค่ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4  แล้วออกมาขายของที่ ขายดอกจำปี ที่แยกโค้งรถไฟยมราช และมีบางครั้งก็นำสินค้าไปขายที่ซอยนานาในช่วงกลางคืน 

          ส่วนหลานคนที่ 2 ตอนนี้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที 2  โรงเรียนกิ่งเพชร ตัวใหญ่ขึ้นมาก  เสื้อผ้าที่เคยมีคับไปหมด ต้องซื้อใหม่ทั้งหมด

          หลานคนที่ สาม จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนกิ่งเพชร  ตัวใหญ่เหมือนกัน  เฉพาะกางเกงตัวเดียวก็ราคาแพงกว่าที่โรงเรียนจ่ายให้ทั้งชุด  ราคากางเกง 525 บาท  เสื้อนักเรียนเบอร์ 40 ราคา 250 บาท ชุดเดียว 750 บาท  เงินที่หลานๆ ช่วยกันหามากยังไม่พอกับชุดนักเรียน หนึ่งเลย

          หลานคนที่ สี่  ฉันเพิ่งไปรับมันมา พ่อเอาไปอยู่ด้วย 2 สอง พ่อมีอาชีพเลี้ยงม้าแข่ง  เวลาม้าไปแข่งที่ไหนก็เอาลูกไปด้วย  เด็กเลยไม่ได้เรียนหนังสือ อายุ 10 ปีแล้ว แต่ต้องมาเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ใหม่  หลานเลยกลายเป็นเด็กโข่งประจำชั้นเรียน

 

         

แค่ตัวอย่าง 2 ครอบครัว  ครอบครัวเด็กอยากให้เรียนหนังสือ แต่ติดขัดด้วยชุดนักเรียน รองเท้า กระเป๋า ชุดลูกเสือ-เนตรนารี ที่ต้องใช้เงินทั้งหมดที่หามา ก็ยังไม่พอกับค่าชุดต่างๆของเด็ก   ทางโครงการผลักดันให้เด็กได้รับโอกาสทางการศึกษา  แต่ค่าใช้จ่ายกลับกลายเป็นภาระของครอบครัว  ความจำเป็นของทางโครงการครูข้างถนนและโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ก็จำเป็น ที่ต้องพึ่งพางบประมาณ จากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรธุรกิจ  ตลอดจนประชาชนทั่วไป

 

          ขอบคุณทุกหน่วยงานที่สร้างที่ยืนให้กับเด็กๆ

          การศึกษา เป็นหนทางที่จะพ้นจากความยากจน อ่าน ออก เขียน ได้ มีวุฒิทางการศึกษา ก็ขึ้นอยู่กับ การได้มีโอกาสเลือกงานที่จะทำ

          ตามมาด้วยสิทธิในการรักษาพยาบาล  หรือการประกันสังคม  ก็คือเจ็บป่วยมีเงินรักษา  เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็น