การบริหารจัดการ เด็กที่ติดโควิด-19(เด็กเร่ร่อน/เด็กลูกกรรมก่อสร้าง ตอนที่ 2 )
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
ครู เด็กของครูติดโควิด-19 กันจำนวนมากใช่ไหม
ใช่เลยค่ะ มีทั้งเด็กเร่ร่อนไทยชั่วคราว/เด็กเร่ร่อนต่างด้าว
แต่ตอนี้กำลังลาม มาถึงเด็กลูกกรรมกรก่อสร้าง
ครูเล็ก ตระโกนมาถามครูว่า ครูได้เข้าไปในไซด์งานลูกกรรมกรก่อสร้าง ที่บ้านพักคนงานก่อสร้าง ของอิตาเลี่ยนไทย หลักสี่หรือเปล่า เป็นช่วงที่ทีมงานของครูกำลังสาละวนกันอยู่กับ การจัดถุงยังชีพ ให้กับกลุ่มเด็กเร่รอนไทยชั่วคราว (ชุมชนเพรชบุรีตัดใหม่ /กับชุมชนโค้งรถไฟยมราช)
ครูตอบครูเล็ก ....หน่วยงานเขาไม่ให้ครูเข้าไปบ้านพักคนงานก่อสร้างที่หลักสี่ (เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ) มีคนงานก่อสร้าง ของบริษัทอิตาเลี่ยนไทย จำนวน 198 คน เป็นที่ฮือฮากันมาก
แต่สำหรับครู คิดตลอดเวลา คือการบริหารจัดการเรื่องเด็ก เอากันอย่าง/อาหารการกินเป็นอย่างไร แต่ทุกอย่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบอกว่าจัดการได้ แต่สำหรับครูไม่แน่ใจเลย เพราะข่าวที่ออกมา เป็นช่วงวันศุกร์ ตอนบ่าย แล้วจะจัดการอย่างไร) เรื่องใหญ่มาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างหยุดทำงานกัน เรื่องแบบนี้มีให้เห็นกันมาตลอด แล้วก็จะโทษไปที่คนงานก่อสร้าง เป็นคนอันตราย เป็นกลุ่มที่แพร่เชื้อ (หาแพะรับบาปแทน)
เป็นดังคาด ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์..ที่ 15-16 พฤษภาคม 2564 ครูอยู่บ้านต่างจังหวัด โทรศัพท์ดังตลอดเวลา เพื่อขอถามความคิดเห็นว่าจะจัดการอย่างไร สำหรับครูคือต้องเห็นหน้างานกันก่อน แต่ครูเองก็ไม่เคยได้เข้าไปยังบ้านพักคนงาน ด้วยผู้จัดการโครงการฯบอกเพียงว่าไม่มีเด็ก ไม่อนุญาตให้หน่วยงานไหนๆ เข้าไปบ้านพักคนงานเด็ดขาด
ด้วยมีชุมชนที่อยู่ล้อมรอบบ้านพักคนงานก่อสร้างจำนวนกว่า 20 ชุมชน และบ้านพักของหน่วยงานราชการอีกหลายสิบแห่ง เกิดอาการผวาเป็นอย่างมาก เมื่อคนงานก่อสร้างเหล่านี้ เดินออกจากแคมป์บ้านพักไปหาซื้อข้าวสาร/อาหารแห้ง รวมถึงน้ำดื่ม เพื่อประทังชีวิตกันก่อน เพราะมีการปิดทาง เข้า-ออก แต่ไม่มีอาหารการกินหรืออะไรให้เลย ในช่วงสามวัน แล้วจะอยู่กันอย่างไร จึงเกิดการโกลาหลเป็นอย่างมาก มีเรื่องร้องเรียน พร้อมกับนักข่าว ทำข่าวคาดการณ์กัน
ความวุ่นวายทวีความรุนแรง คนงานก่อสร้างเหล่านั้นถูกประนามเปรียบเสมือนเชื้อโรคร้าย ขาดกระบวนการจัดการ คนงานก่อสร้างจึงกลายเป็นจำเลยต่อสังคม กลายเป็นบุคคลที่น่ารังกียจ การกระพือข่าวแบบนี้ บริษัทก่อสร้าง คือการเอาตัวรอด ขาดความรับผิดชอบ
ในช่วงนั้น ครูมอบให้ครูซิ้ม (เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่ประสานงาน ตลอดจนคุยกับผู้บิหารของบริษัทอินตาเลี่ยนไทย จำกัด ในเรื่องกระบวนการช่วยเหลือแบบเร่งด่วน พร้อมที่ประสานงานกับนายช่างใหญ่เจ้าของโครงการก่อสร้าง โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ที่กำลังดำเนินการ ตลอดจนต้องดูรายละเอียดเกี่ยวกับงาน ที่พักของคนงานก่อสร้างที่ ต้องแบ่งออกไป 3 กลุ่มใหญ่
-กลุ่มที่ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 198 คน ที่เป็นทั้งคนไทยและคนพม่า ต้องรีบส่งคนเหล่านั้นเข้าโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เร็วที่สุด ในกลุ่มนี้ มีกลุ่มแม่และเด็กกว่า 50 คน งานนี้เร่งให้ส่งตัว เพื่อเป็นการสกัดเชื้อไม่ให้ลงปอดเร็วที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มเด็กลูกกรรมกรก่อสร้าง ต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน
-กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่สัมผัสเสี่ยงสูง คือกลุ่ม ที่ต้องกักตัวอยู่ในแคมป์ ห้ามเข้า-ห้ามออก กว่าจำนวน 600 คน แบ่งออกเป็นตามห้องพักคนงานก่อสร้าง ที่สามี หรือ เมียกับลูกติด หลายคนชอบถามว่าทำไหมติดกับคนยากจน /กลุ่มที่ด้อยโอกาส บอกได้คำเดียวว่า กลุ่มเหล่านี้สุขภาพที่พักอาศัยก็ไม่พออยู่แล้ว เมื่อติดจึงมีการระบาดอย่างเร็วมาก เพราะกั้นแค่สังกะสีเท่านั้น ตึกที่พักหลังไหนติดโควิด-19ก็ระบาดกันทั้งตึกที่พักไปเลย
-กลุ่มที่ สาม กลุ่มที่ไม่ติด กลุ่มนี้ต้องย้ายออกมาอาศัยที่ใต้ตึก ที่สร้างโรงพยาบาล และมีคนก่อสร้างบางส่วนที่พากันหนี อยพยไปตามที่ต่างๆ ที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ส่วนมากเป็นคนงานก่อสร้างที่ไม่มีเอกสารใดใด ติดตัว แล้วกลัวความผิด เหมารถกันเองไปตามที่ต่างๆ อีกสักสิบกว่าวันคนงานก่อสร้างเหล่านี้ติดพร้อมทั้งเป็นผู้แพร่ระบาดจำนวน โดยเฉพาะกลุ่มคนงานก่อสร้างขอแงบริษัทอินตาเลี่ยนไทย
สำหรับการจัดการในช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ครูกับครูซิ้ม พร้อมผู้ช่วยครูรักษ์ยิ้ม สิ่งที่ต้องทำแบบเร่งด่วน คือ ทำอย่างไรก็ได้ ห่สิ่งของที่คนงานก่อสร้างต้องการใช้แบบเร่งด่วน
1.น้ำดื่มจำนวน 100 แพ๊ค นำเข้าไปงานที่แคมป์คนงานก่อสร้างก่อสร้าง จึงนำของทั้งหมดไปให้ที่ประตู 2 ซึ่งจัดเป็นสถาที่รับสิ่งของที่บริจาคมา พร้อมจัดเป็นหน่วยที่ต้องส่งของแบบเร่งด่วนที่สุด คือใช้รถกะบะของบริษัท พร้อมคนงานทำหน้าที่ธุรการ ใส่ชุด PPE นำส่งของไปให้คนงานก่อสร้างที่อยู่ในแคมป์
ครั้งนี้นายช่างลงมารับเอง พร้อมทั้งการพูดคุยเรื่องการส่งเด็กลูกกรรมกรก่อสร้างออกไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ให้เร็วที่สุด ซึ่งทางครูเพิ่งได้บทเรียนในการประสานงานเรื่องการรักษาเด็กเร่ร่อนต่างด้าว กับทางโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นำมาใช้กับเด็กลูกกรรมกรก่อสร้างได้เป็นอย่างดี
เมื่อมีการสอบถาม พูดคุยกัน จึงรู้ว่ามีบริษัทก่อสร้างขนาดเล็กที่รับเหมาช่วงต่อ อีกกว่า 12 บริษัท ที่มีเด็กติดมากับครอบครัวจำนวนกว่า 50 คน งานนี้ลงมาถึงเด็ก เด็ก ที่อยู่ในแคมป์งาน ครูเองก็บ่นตลอดเวลา ปิดข้อมูลกันอยู่ได้ ทำไหมไม่รีบหาทางแก้ไข
2.ทีมงานของครูรีบมาระดมสิ่งของที่อยู่จัดชุดถุงยังชีพจำนวน 60 ชุด เร่งนำเข้าไปให้ครอบครัวที่มีเด็กก่อน เมื่อจัดทำเป็นอาหาร พร้อมประสานงานกับทางโทรทัศน์ไทพีบีเอส เรื่องนำข้าวกล่องไปให้ผู้ที่สัมผัส และยังอยู่ที่แคมป์คนงานก่อสร้าง ก่อนเลย
ทุกอย่างต้องรีบจัดการพร้อมกับเร่ง/กระตุ้น ให้ผู้บริหารของบริษัทก่อสร้าง(ที่เป็นผู้รับเหมา เข้ามาดูแลคนงานก่อสร้างของตนเอง สุดท้ายที่เจอ คือผู้รับเหมาหนีเอาตัวรอด กลับต่างจังหวัด ทิ้งคนงานเหล่านี้กระจายตัวกันไปที่ต่างๆ )แบบนี้ สุดท้ายติดกันทั้งกรุงเทพมหานคร แบบกระจายเชื้อ
3.ทางครูก็เตรียมระดมสิ่งของโดยเฉพาะกลุ่มคนงานก่อสร้าง ที่ทางโรงเรียนเด็กก่อสร้างรับผิดชอบ กว่า 20 แหล่งก่อสร้างด้วย พร้อมกับนโยบายของมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กห้ามลงพื้นที่ แต่เปลี่ยนกระบวนการทำงาน คือ ให้จัดหาถุงยังชีพ แต่ทางผู้รับเหมา/หรือโฟร์แมน หรือเจ้าของโครงการให้มารับถุงยังชีพที่มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
งานนี้ครูเลยต้องปรับกระบวนการทำงาน และหาถุงยังชีพจำนวนมาก
พร้อมกับคนงานก่อสร้างก็เริ่มติด ล่ามไปถึงเด็ก เด็ก โดยเฉพาะที่แหล่งก่อสร้างที่หลักหก/ พื้นที่ 14ไร่ /และสถานที่ ช่อง11 ของบริษัทอินตาเลี่ยนไทย
สิ่งที่ต้องดำเนินการของบริษัทก่อสร้าง เริ่มมีการ ย้ายคนงานก่อสร้างแล้วแบ่งแถวที่พัก เป็สถาที่กักตัว พร้อมร้องของถุงยังชีพ เพื่อให้งานก่อสร้างเหล่านั้นดำเนินการอยู่
และทางบริษัทอินตาเลี่ยนไทยเอง ได้เอาที่พักทั้งหมด ที่ 9 ไร่ เป็น สถานที่พักคอย(กักตัวอีก 14 วัน ที่หลังออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งบางครอบครัวก็มีเด็กมาด้วย ) การจัดการเป็นกรณีที่คนงานก่อสร้างมีประกันสังคม และเป็นคนงานของบริษัทโดยตรง
แต่กรณีที่เป็นผู้รับเหมาช่วง งานนี้ถูกปล่อย ไม่ได้รับการดูแล
ทางโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่จึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
“กับทุกคนต้องรอดปลอดภัยไปด้วยกัน”