การบริหารจัดการ เด็กที่ติดโควิด-19(เด็กเร่ร่อน/เด็กลูกกรรมก่อสร้าง ตอนที่ 1 )
นางสาวทองพูล บัวศรี(ครูจิ๋ว)
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
หลายคน/หลายหน่วยงาน ว่า ครูจัดการกับเด็กที่ติดโควิดอย่างไร บ้าง แล้วเด็กที่ติดโควิด-19 ครูเองต้องเผชิญปัญหาอย่างไร สำหรับการทำงานครูเปลี่ยนวิธีการทำงานรูปแบบไหน ถึง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
ครูเริ่มต้น ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2564 เป็นกลุ่มสาว ที่ไปทำงานบริการ(เสิร์ฟอาหาร รับจ้างล้างจาน เป็นยามเฝ้าที่ลานจอดรถ สถานบริการทองหล่อ ) ส่วนมากคือเช่าบ้านอยู่ในชุมชนโค้งรถยมราช กับ ซอยเพชรบุรีตัดใหม่ ซอย 5 กับซอย 7 ครูแค่ประสานงานกับโรงพยาบาลว่ามีคนป่วย แล้วส่งเอกสารผลการตรวจให้โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลมีรถมารับที่ชุมชน รักษาตัวกันยาวนาน เพราะเป็นผู้ใหญ่ ใช้เวลาตั้งแต่ 15-30 วัน แล้วแต่ร่างกายของผู้ป่วย แล้วกลับมากักตัวที่ชุมชนเมื่อรักษาหาย แต่ในช่วงนั้น ยังหาเตียงได้ และสามารถนำส่งโรงพยาบาลทุกคน มีการตื่นกลัว คนที่ติดโควิด-19 เหมือนเป็นผู้ที่ก่ออาชญากรรมหรือฆ่าใครตาย เป็นกลุ่มที่แพร่เชื้อโรค สุดท้ายก็อยู่ในชุมชนไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องการสื่อสาร
คนหนุ่มสาวที่ใช้วิถีชีวิตเป็นพนักงานเสิร์ฟ/ล้างจาน/ชามในสถานบริการ ติดกันอย่างทั่วหน้า แล้วนำมาติดผู้สูงอายุที่ติดเตียง เริ่มจากครอบครัวเดียวในชุมชน แต่เป็นที่แตกตื่นโกลาหลกันอย่างมาก มีการจัดระบบชุมชน ชุมชนที่จัดระบบอย่ามาก
-ชุมชนเพชรบุรีตัดใหม่ ซอย5,ซอย 7 มีหนุ่มสาวที่เอาเชื้อมาติดผู้สูงอายุที่ติดเตียง แล้วขยายไปสู่เด็ก เยาวชน ที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันกว่า 10 คน เริ่มมาจากครอบครัวของนางณี (นามสมมุติ) มีแม่ที่อายุ 73 ปี ป่วยติดเตียงอยู่ ติดโควิด-19 จากหลานสาวอายุ 21 ปี ที่เป็นพนักงานเสิร์ฟที่ ร้านอาหารซอยเอกมัย หลานสาวถูกส่งตัวไปรักษาตัวที่ โรงพยาบาลกลาง แต่หลานสาวนำเอาเชื้อไปติดยายที่ติดเตียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ยายป่วยอยู่แค่ 4 วัน เชื้อลงปอด เอาไม่อยู่ ทางหน่วยงานปอเต๊กตึก (กตัญญู) ต้องเอาศพไปเผาที่วัดสะพาน ลูกหลานทุกคนห้ามออกจากบ้าน ทางคณะกรรมการชุมชนใช้เชือกสีแดงล้อมไว้ ส่งอาหารพร้อมยา ทั้งสามมื้อ อยู่กันแต่ในบ้านเช่า ที่แออัด ทางคุณหมอมีการโทรศัพท์คุยกับคนป่วยที่เหลืออยู่อีก 8 คน พร้อมทั้งให้ยา FAVIPIRVIR /น้ำมะนาว/น้ำขิง มีมอเตอร์ไซด์ ส่งที่มัสยิดกลาง (ซอย 7 ) แล้วคณะกรรมการชุมชน จะเป็นคนนำไปแขวนไว้ที่หน้าบ้าน ทั้งยาและอาหารเป็นของทางโรงพยาบาลรามาธิบดี ชุดนี้ยังไม่ต้องไปนอนที่โรงพยาบาล เป็นกลุ่มผู้เสี่ยงสูง แต่ต้องให้หายขาด
ใช้เวลาในการดำเนินการและเฝ้าระวังสำหรับครอบครัวนี้ กว่า 28 วัน ทางครอบครัวนางณี ก็เจอปัญหา เรื่องค่าเช่าบ้าน เพราะเจ้าของบ้านไม่สน เมื่อพักกันถึงเดือนก็ต้องจ่ายค่าใช้บ้าน จึงต้องมีการใช้เงินฉุกเฉินของ คณะกรรมการมัสยิด ช่วยไปก่อน
หลังจากเดือนพฤษภาคม 2564 การลามการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ก็กระจายกันไปทั่วทั้งชุมชน แต่กระบวนการช่วยเหลือก็ใช้วิธีการแบบ ครอบครัวของนางณี
สิ่งสำคัญ คือการเดินทางของคนในชุมชนที่ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ต้องใช้รถเมล์(ขนส่งสาธารณะ) ซึ่งมีการแพร่กระจายได้ง่าย จึงมีการคุยกันกับคณะกรรมการชุมชน ใช้รถพระราชทานมาตรวจที่มัสยิด แล้วแยกผู้ป่วยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล
ส่วนกลุ่มที่สัมผัสสูง ต้องกักตัว พร้อมจัดการด้วยข้าวอาหาร สามมื้อ พร้อมยาฟ้าทะลายโจร มีการเอ๊กซเรย์ปอดกันทุก 3 วัน คนไหนมีปัญหาเรื่องปอด ส่งต่อโรงพยาบาลทันที (อาสาสมัครของคณะกรรมการมัสยิด) ช่วยได้มาก แต่สุดท้ายอาสาสมัครก็ติดโควิด-19 พร้อมในชุมชน ไปด้วยกันหมด
สำหรับคนติดโรคโควิด-19 ในช่วงเดือนนั้น เป็นเสมือนผู้ก่ออาชญากรรม เป็นที่น่ากลัว/น่ารังกียจ เพราะทางสลัมคลองเตยกำลังอยู่ในช่วงการระบาดหนักมาก ทัศนคติการรังเกียจ จึงเกิดขึ้น คนในชุมชนเพรชบุรีตัดใหม่ ซอย5,7 ก็ได้รับผลกระทบกันอย่างทั่วถึง
ครั้งที่ 2 เริ่มต้น เดือนพฤษภาคม 2564 เด็กเร่ร่อนต่างด้าว พร้อมแม่ ที่วนเวียนพาลูกออกไปตระเวน ตามพื้นที่ต่างๆตั้งแต่ถนนสุขุมวิท จนถึงตลาดคลองเตย จำนวน ทั้งสิ้น 13 ครอบครัว เด็กทั้งสิ้นจำนวน 27 คน มีเด็กอายุ 12 ปี ที่เข้ามารักษาคนเดียวในโรงพยาบาล ด้วยเหตุว่าแม่ป่วยถูกส่งไปรักษาตัวที่ โรงพยาบาลสนามแล้ว เพราะแม่มีพาสปอร์ เป็นคนงานที่มีประกันสังคม ส่วนพ่อทางศูนย์สาธารณะสุข ได้ส่งไปตรวจที่ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ตามโควตาของประกันสังคม ลูกสาวที่เป็นกลุ่มเสี่ยงหาที่ตรวจไม่ได้ ทางครูเลยแนะนำให้เด็กเดินเข้าที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แล้วบอกกับทางพยาบาลว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ได้รับคำแนะนำจาก ครูว่าให้มาตรวจที่นี้
การบริหาร/จัดการ กับเด็กเร่ร่อนต่างด้าวพร้อมครอบครัว ที่ติดโควิด-19 เป็นกลุ่มที่ครอบครัวที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ่อนไก่ทั้งหมด ซึ่งเป็นแหล่งเผยแพร่โรคระบาดในครั้งนี้ ถึงแม้จะบอกว่า อยู่กันแต่ในบ้าน ครูเองก็พูดชัดเจน เชื้อโรคโควิด-19 แวะเข้ามาทักทายถึงในบ้านกันเลย เพราะทุกคนติดหมด จนประธานชุมชนต้องบอกว่า ติดทุกคนครับครู ถ้าศูนย์สาธารณะสุเองก็ไม่สามารถหาที่พักคอยได้ ด้วยการเริ่มต้นของแม่เด็กที่มาปรึกษาว่า แม่เด็กพร้อมเด็กอยากตรวจโควิด-19 ว่าติดหรือไหม เพราะพวกเขาเอง มีอาการ จึงเริ่มต้น ด้วยคำแนะนำว่า
ขั้นตอนที่ 1 การให้กรณีศึกษา หาที่ตรวจมา ติดโควิด-19 ให้ได้ก่อน เพื่อว่า ติดหรือไหม จะได้จัดการถูก และดำเนินการให้คำแนะนำ พร้อมประสานส่งต่อ งานนี้ครูนึกถึงรถพระราชทานตรวจโควิด-19 จึงแนะนำกรณีศึกษาให้ไปตรวจที่รถพระราชทาน ตรวจโควิด-19 เชิงรุก ตามประกาศ ในแต่ละวัน มีพื้นที่ต่างๆ กรณีที่ 1 ไปตรวจที่ มาบุญครอง ผลปรากฏว่า แม่ติด ลูกยังไม่ติด แต่สุดท้ายติดด้วยกันทั้งคู่ ถูกส่งไปรักษายาตัวที่ โรงพยาบาลต่างจังหวัด ด้วยเหตุผล โรงพยาบาลในกรุงเทพ เต็มหมด จำนวน 13 ครอบครัว ติดกันหมดทั้งครอบครัว
ขั้นตอนที่ 2 คือการหาโรงพยาบาลให้กลุ่มแม่และเด็กเร่ร่อนเหล่านี้ ไปรักษาตัว ครูเองก็แนะนำให้ทุกครอบครัว ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งทางโรงพยาบาลฯ เองก็ต้องกังวล ในการจัดการกรณีศึกษา เพราะกรณีของครู เป็นกลุ่มที่ไม่มีเอกสารใดใดเลย แล้วรู้มาก หัวหมอด้วย(เอาประโยชน์มากที่สุดทุกเรื่อง ) ครูต้องคุยกับคุณหมอเป็นรายกรณี ต้องแต่เรื่องค่าใช้จ่ายของการตรวจ/การนอนโรงพยาบาล/ค่าอาหาร/ค่าที่พัก เป็นต้น ทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย
ขั้นตอนที่ 3 คือการต่อรองเรื่องค่าใช้จ่าย ของกรณีแม่และเด็กเร่ร่อนต่างด้าว ซึ่งเขาเหล่านั้น ทางฝ่ายการเงินคุยกับครู ต้องเสียค่าใช้จ่าย ครูเลยบอกว่าคิดค่าใช้จ่ายมาได้เลย แต่ครูไม่มีจ่าย นำข้อมูลทั้งหมดพร้อมประวัติครอบครัวเด็ก ส่งต่อให้ประสานงานกับ สปสช. (ซึ่งงบประมาณของโรงพยาบาลต่างๆ ต้องใช้บประมาณเรื่องการรักษาโรคโควิด-19 ที่หน่วยงาน ของ สปสช. และครูเน้นย้ำตลอดเวลาเวลาว่า เขาเหล่านั้นเป็นโรคระบาด ถ้าไม่รักษา เขาเหล่านั้น คือคนที่จะเป็นตัวแพร่กระจายโรค แบบระบาดไปทั่ว เพราะกลุ่มนี้จะเดินขอทานไปทั่วกรุงเทพมหานคร)
ขั้นตอนที่ 4 การให้คำปรึกษา ทั้งคุณหมอ/พยาบาล ทั้งกรณีศึกษา ด้วยคุณหมอ/พยาบาลเอง ต้องบริหารจัดการเรื่องการกินยา กับกรณีศึกษา/ การวัดไข้ การวัดออกซิเจนปลายนิ้ว เจอปัญหาคือเรื่องการสื่อสาร ครูเลยแนะนำว่าเด็ก เด็กเหล่านี้ พูดและเขียนภาษาไทย ได้ เพราะเด็กได้เรียนหนังสือ เป็นล่ามได้ ทั้งคุณหมอและพยาบาล จึงหมดห่วง แล้วเฝ้าดูอาการ กังวลตามมา คือ เด็ก เด็ก ขอครูซนมาก เมื่อมีแรงจึงวิ่งกันให้วุ่นตามห้องนอนพักของครอบครัว หรือห้องโถงรวม จึงแนะนำโดยการกิจกรรมการอ่าน/การระบายสี/เครื่องเล่น ของเด็กเข้าช่วย
สำหรับกรณีศึกษา คือ ขอมาม่าเพิ่ม ด้วยลูก ลูก ที่เข้าไปรักษาตัว อาหารที่โรงพยาบาลให้ไม่พอกับความต้องการขอเด็ก บางครอบครัวขอแพมเพิสเพิ่ม/ขอขนเพิ่ม /ขอเครื่องใช้เพิ่ม สำหรับครูมีอะไรก็แบ่งปันไปให้ก่อน เช่นแบ่งนมจำนวน 20 ลัง ไปไว้ที่โรงพยาบาล/มาม่า ขนม เพื่อเด็กคนอื่นด้วย ไม่เฉพาะกับกรณีศึกษา ของครู บงแห่งต้องขอจากหน่วยงานองค์กรเอกชนอื่นมาช่วยสนับสนุนกรณีศึกษา
ขั้นตอนที่ 5 คือการประคองเรื่องถุงยังชีพ หลังจากออกจากโรงพยาบาล อีก 14 วัน ห้ามออกไปจากบ้านเช่า เมื่อออกจากโรงพยาบาล ก็เป็นประเด็นที่ ทุกครอบครัวต้องพบ เพราะยังไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้เลย ต้องกักตัวอีก 14 วัน ทางครูจึงจำเป็นยังต้องส่งถุงยังชีพ อีก 14 วัน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อให้ทุกครอบครัวได้กินอิ่มก่อน
จากกระบวนการทำงาน ทั้งสองกลุ่มนี้ ที่เล่ากันมา มีเรื่องระหว่าทางอีกจำนวนมาก หลายกรณีด้วยกัน แต่สิ่งเหล่านี้คือบทเรียนการทำงานที่ไม่ทิ้งใครไว้ขางหลัง ทุกคนต้องรอดปลอดภัยไปด้วยกัน งานนี้ครูต้องขอบคุณเครือข่ายการทำงาน กัลยาณมิตรที่ช่วยครูกันทุกเรื่อง ขอบคุณ ขอบคุณ