banner
จันทร์ ที่ 9 เดือน มีนาคม พ.ศ.2563 แก้ไข admin

รักแบบผิดๆ....พาลูกหนี

 

นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน    มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

          ครูอยู่ไหน......ช่วยลูกฉันด้วย

          ลูกฉันมันถูกจับ......................

          ฉันไม่เคยแยกจากลูกเลย    ลูกฉันมันไปเดินเล่น...

          ฉันกลับไปส่งลูกชายที่  ปอยเปต  กลับมาถึงชุมชน เพื่อนทุกคนบอกว่าลูกฉันถูกจับ 

          ครู....ฉันไม่รู้ว่าลูกฉันถูกส่งตัวไปที่ไหน....ช่วยฉันด้วย... ดราม่าของแม่มาเต็ม

          โทรศัพท์แบบถี่ยับ  ทุกชั่วโมง  โทรมาก็โอดครวญ เปี่ยมจะขาดใจตาย

          งานนี้เริ่มต้นก่อนว่า  หน่วยงานไหนเป็นหน่วยงานที่จับ  จึงโทรหาเจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ บ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร

          ขั้นที่ 1  เช็คว่าเด็กอยู่บนถนนคืน วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563   เด็กมากันเอง สองพี่น้อง  แล้วมาเจอน้องมินท์  อีกเด็กครอบครัว  วิ่งเล่นกันบนถนน  พร้อมขอเงินนักท่องเที่ยวไปด้วย  วิ่งกันจนเป็นที่ปวดหัว และสร้างความรำคาญ กับผู้คนที่เดินผ่านไป-ผ่านมา  บังเอิญมีทีมกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี ลงพื้นที่มาพอดี พร้อมรถตู้   เด็กเหล่านี้ถูกรวบตัวไปพร้อมกัน จำนวน 7 คน 

          ขั้นที่ 2  คัดกรองกันที่ สน.ทองหล่อ  แล้วส่งตัวไปบ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร จำนวน 3 คน มีน้องเด็กหญิงซาน (นามสมมุติ) เด็กส่าน  (นามสมมุติ) เด็กหญิงมินท์ (นามสมมุติ) โดยมีน้องซานกับน้องส่าน เป็นพี่น้องกัน   สำหรับน้องมินท์ เป็นน้องสาวของเด็กหญิงดำ  ที่ออกมาขอเงินทุกคืน

          ขั้นที่ 3  แม่เด็กตามหาน้องทั้งสาม คน จนพบที่บ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร  แล้วแม่พูดคุยกับทีมนักสังคมสงเคราะห์ ว่ารู้จักครูจิ๋ว    ทางนักสังคมสงเคราะห์ก็ให้นัดหมายครูมาคุยเพื่อว่าจะเอาอย่างไรกับครอบครัวนี้  แต่ครูเองมีงานที่ต้องทำแบบเร่งด่วนมาก  ครูจึงคุยให้ส่งเด็กไปยังหน่วยงานที่ใกล้ที่พักของครอบครัวเด็กให้มากที่สุด

          สำหรับแม่เด็กใช้คำว่า “จิก” จิก จิก ทุกชั่วโมง  จนหมดเวลาที่แม่นัดกับนักสังคมสงเคราะห์  คือเวลา บ่ายสาม  ครูเองก็ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะเด็กป่วย  แม่เองก็ร้องไห้อย่างหนักว่าไม่เคยที่จะพรากจากลูกเลย  ถูกจับก็จับด้วยกัน  ส่งเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพก็ไปอยู่ด้วยกัน    เสียงคร่ำครวญที่ออกมาจากปากแม่  ครูเองก็บอกว่าอย่าแสดงละครกับครูเลย   ครูเบื่อแล้ว   แล้วก็นัดเวลาที่ทีมงานนักสังคมสงเคราะห์จะมาเยี่ยมครอบครัว   และนัดคุยกันทั้งแม่กับครู คือ วันอังคารหน้า(4 กุมภาพันธ์ 2563)  เด็กทั้ง 3 คน ได้ถูกส่งตัวไปยังบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ ตั้งแต่ วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563  โดยมีทีมงานสังคมสงเคราะห์  ดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเด็กทั้ง 3 คน มีอาการอยากหนี แต่ให้ความร่วมมือในกิจกรรมที่ทางทีมงานบ้านพักเด็กและครอบครัวฯเป็นอย่างดี  เด็กเลยต้องนอนที่บ้านพักเด็กและครอบครัวฯ ตั้งแต่คืนวันศุกร์,เสาร์,อาทิตย์,วันจันทร์  

          เด็กเองก็คอยทั้งครูจิ๋วและแม่   แต่ที่ชัดเจนครูจะไปเยี่ยมในวันอังคารแน่นอน  ได้คุยกับแม่อย่างชัดเจน

          ขั้นที่ 4 ทางทีมนักสังคมสงเคราะห์ จำนวน 2 คน  ได้ขอโทรศัพท์  คุยกับครูมุ้ยที่อยู่ในชุมชนเดียวกับแม่เด็กของน้องซานและน้องส่าน  โดยทางครูมุ้ยได้พานักส่งคมสงเคราะห์มาเยี่ยมบ้านแม่ของเด็ก ว่ามีที่อยู่ชัดเจนแค่ไหน

          สภาพที่พักของแม่เด็กชอบพาลูกนอนที่สะพานลอยทุกคนในชุมชนรู้ดีว่าแม่เอาเงินที่ลูกหามาได้  เอาไปเล่นการพนัน  และสิ่งที่เกิดขึ้นคือการเช่าที่นอนเพียงกลางวันเท่านั้น  นอกนั้นอาศัยสะพานลอย


 

          แต่การพูดคุยกับนักสังคมสงเคราะห์เอง  ทราบข้อมูล รายละเอียด ความคิดเดียวกันจะยังไม่คืนลูกไปให้แม่  แต่ทุกหน่วยงานต้องการส่งเด็กให้ได้เรียนที่ประเทศต้นทาง  โดยให้เด็กได้มีโอกาสเข้าเรียนฝึกอาชีพสัก 3 ปี    เพื่อการยืดอายุของเด็กที่จะมาใช้ถนนในประเทศไทยเป็นสถานที่ทำมาหากินแบบไม่มีคุณภาพ  การศึกษาก็เข้าไม่ถึง เรียนก็ไม่ได้เรียน 

          แม่เด็กเองยืนยันว่าดูแลได้ ไม่เอาเด็กมาอีกแล้ว  จะให้เด็กได้เรียนหนังสือที่กัมพูชา  ขอลูกคืน  แต่งานนี้ดูรูปการแล้ว  เจ้าหน้าที่ของบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ มีการสงเคราะห์คือ ส่งคืนหน่วยงานขององค์กรเอกชนในการดำเนินการส่งกลับไปประเทศต้นทาง

          ขั้นที่ 5  สำหรับครูเอง ทุกวันอังคารมีเรียน โดยเฉพาะเช้าที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 มีงานเรียนที่ต้องทำเป็นทั้งผู้แนะนำวิทยากรบนเวที   ผู้แนะนำการอภิปรายวิทยากรบนเวที   ซึ่งถือว่าภารกิจวันนี้หนักมากสำหรับในการเรียน เพราะมีวิทยากรมืออาชีพ  สำหรับครูจิ๋ว ก็ทำได้แบบฉบับไม่เหมือนใคร  ลดความกังวล  แต่ที่แน่ๆมีงานตอนบ่ายรออยู่แถมอยู่ไกล  เดินทางอย่างไร  (มีความกังวล)

          เมื่อเรียนจบงานวันนี้ก็ได้ลืมมือถือไว้ที่ห้องเรียน  แต่ตัวครูเองเดินทางไปบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ  ด้วยการเดินทางจากรถแท็กซี ไปที่หมอชิตต่อด้วยรถไฟฟ้า ไปลงที่ สำโรง ด้วยด้วยมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ต้องนั่งเรือข้ามไปฝั่งพระประแดง  จนถึงบ้านพักเด็กและครอบครัวฯ บ่ายสาม

          สำหรับแม่เด็กนัดหมายกันอย่างดีว่า มาเจอกันที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ  แต่แม่เด็กเหมาแท็กซีไป สถานคุ้มครองฝึกอาชีพบ้านเกร็ดตระการ  คนละสถานที่ คนละแห่ง..

          ครูเองได้คุยกับทีมงานนักสังคมสงเคราะห์  คำถามแรก คือครูรู้จักกับครอบครัวเด็กได้อย่างไร  งานนี้มีความรู้สึกว่า คำถามแบบการใช้อำนาจเลยนะ  แต่สำหรับครูทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตอบด้วย

(1)   ครูทำงานในฐานะผู้จัดการโครงการครูข้างถนน และเจ้าหน้าที่ครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์

เด็ก  หน้าที่สำคัญคือการลงพื้นที่ในภาคสนาม อาทิตย์ละ 3 ครั้ง  บางอาทิตย์ก็มากกว่านี้  แต่บางอาทิตย์ ก็ลุยในช่วงกลางคืน  ครูจะลงครอบครัวขอทานจำนวนมาก  ที่ออกมาขอทานในช่วงค่ำคืน  บางครอบครัวก็มากลางวัน  บางครอบครัวมาเช้ามืดจนถึงเวลา แปดโมงเช้า  สำหรับครอบครัวนี้ เจอกันมานานตั้งแต่ ปี 2556  แล้ว แล้วก็ตามติดชีวิตของเด็กมาตลอด  จนดีใจที่แม่ยอมให้ลูกคนที่สอง เช้าเรียน วัดมหาวงษ์  เรียนได้ 2 เดือน แม่ก็เอาออกมาขอทาน

          การหาตัวเด็กไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  เพราะแม่จะพาลูกเข้า-ออก ประเทศแบบง่ายดายมาก  เข้า-ออก เป็นว่าเล่น   แต่ก็หลบหลีกการถูกจับมาได้ตลอด

(2)   เมื่อวันพุธที่แล้วครูเองพื้นที่กลางคืนเพื่อเฝ้ากรณีศึกษา 2-3 กรณีศึกษา ที่เด็กเหล่านี้ลุกล้ำ

นักท่องเที่ยวแบบประชิดตัว (เทคนิคจะขอเงินนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นชาวตะวันตก ถือว่าเป็นการสร้างความรำคาญ  และเด็กตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์อีกครั้ง )มีการส่งคลิปเข้ายูทูป  โด่งดังกันพร้อมสมควร แล้วมีการแท็กมาหาครูด้วย   งานนี้ต้องลงพื้นที่แบบนั่งเฝ้า แล้วก็เจอกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  นั่งคุยกันทำความเข้าใจกัน ว่าครูไม่ช่วยใครทั้งนั้นเมื่อถูกจับ  เพราะทุกคน ทุกครอบครัว ทำผิดกฎหมาย  แต่หน้าที่จะทำให้เด็กได้เข้าสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรที่จะได้  ทั้งด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข    ฝ่ายเจ้าหน้าที่ คุยต่อว่าครูต้องทำอะไรบ้างเมื่อพบพวกเขาเหล่านั้น


          สิ่งที่ครูต้องทำ คือบันทึกพบเด็กกับแม่ครั้งที่เท่าไร  ต้องการความช่วยเหลืออะไร  แล้วนั่งคุยกันเพื่อหาทางออกกันที่ละกรณีศึกษา  บางกรณีศึกษาครูก็แค่นั่งรับฟังสิ่งที่พวกเขาอยากเล่าให้ครูฟัง  เช่นครูฉันต้องมาเพราะไม่มีค่าเช่าบ้าน   ครูลูกฉันมันป่วย (ป่วยจริง/ป่วยปลอมก็สืบอีกครั้งหนึ่ง)

          ครูเวลาเจอพวกเขาเหล่านี้โกหก ครูทำอย่างไร   ครูก็เฉยๆนะ  ทุกคนเอาตัวรอดกันทั้งนั้น  แต่ครูมีการซ้อนแผน  เดี๋ยวก็สารภาพกันเอง  ด้วยเงื่อนไขของลูก ที่ต้องเรียน  ต้องพาไปหาหมอ  หรือบางครั้งก็ต้องคุยหาทางออกด้วยกัน

          ทุกกรณีคือเมื่อถูกหน่วยงานราชการจับ  ครูจะยุติบทบาท   ยกเว้นการส่งกลับ  เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานกันมากกว่า   ครูย้อนถามไปว่า แล้วพวกน้องๆทุกคนเคยนั่งเฝ้าเด็กไหม  ไม่เคยรู้ที่มา-ที่ไป ของเด็ก   ได้แค่สอบถามตามหลักสหวิชาชีพ  ครูหันไปถามต่อรู้ได้อย่างไรว่าที่เขาพูดมาเขาบอกความจริง......ทุกเรื่อง

          ขนาดครูลงประจำกับเขาสิ่งที่ได้มา บางครั้งยังไม่พูดความจริง  บางเรื่องต้องรู้จากคนอื่นด้วยซ้ำ  ทุกหันมองหน้าครู  แล้วพยักหน้า..... การสร้างความไว้วางใจกันใช้เวลายาวนานนะคะ

          เมื่อคุยกันรู้ที่มาที่ไปแล้ว ขอเอกสารว่าครูเป็นคนของมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กจริง  มีบัตรประจำตัวของมูลนิธิฯตั้งแต่สิ้นปีที่แล้ว   ให้เจ้าหน้าที่ไปทำเอกสารต่อ  เพราะต้องสอบปากคำ  ที่เดินทางไกลแสนไกลมาก   สิ่งที่ร่วมกันตัดสินใจแล้วจะดำเนินการช่วยเหลือกรณีศึกษาครั้งนี้

          1.ทุกคนเห็นด้วยว่าจะไม่คืนเด็กให้แม่   ยกการลงเยี่ยมของนักสังคมสงเคราะห์ พร้อมพูดคุยกับแม่แบบไม่มีการว่างแผน  และแม่ก็ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง

          2.ให้ทางมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก รับเด็กแบบส่งไปที่องค์กรเอกชน ทางกัมพูชาได้ไหม   ครูจิ๋วตอบว่าได้  ครูขอเวลา 1 อาทิตย์ในการประสานงานกับองค์กรเฟรนด์ ประเทศไทย  ที่จะส่งเด็กไปเรียนและฝึกอาชีพที่ CWCC  เป็นองค์กรเอกชนด้านผู้หญิงและเด็ก  เพื่อการอ่านและฝึกอาชีพ

          3.ครูโทรคุยกับองค์กรเฟรนด์ทันที  ทุกคนเห็นด้วย  ให้องค์กรเฟรนด์ประสานงานทันทีเลย  อาทิตย์หน้าทุกอย่างพร้อม ขอเป็นวันจันทร์หรือ วันพฤหัสบดีเป็นอย่างช้า   สายตาที่มองไปที่เด็ก   ทุกคนร้องไห้  แต่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับประโยชน์สูงสุดของเด็ก 


          4.ครูก็เดินทางกลับ หวังว่าทุกอย่างจะมีการเตรียมความพร้อมในระดับหนึ่ง  และสิ่งสำคัญ เด็กจะได้กลับไปสู่การศึกษาอีกครั้ง   คือความฝันของคนทำงาน

          ขั้นตอนที่ 6  ในวันพรุ่งขึ้น วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์  2563  ความฝันที่ฝันกันทุกหน่วยงาน  สลายไปทันที่ เมื่อเวลา 9.00 น.  เมื่อแม่เด็กไปเยี่ยมลูกที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ

          โทรศัพท์ดังลั่นแต่เช้า  ว่า ครูจิ๋ว แม่กับเจ้าซาน/เจ้าส่าน  แล้วเอาเด็กที่มาด้วยกัน  หายไป หายไปตอนแปดโมงห้าสิบค่ะ  ดูจากกล้องวงจรปิด

          ตอนนี้ทีมงานของบ้านพักเด็กและครอบครัวฯ ลงไปที่บ้านในชุมชน  ทุกคนบอกว่าไม่เห็นแม่กับเด็ก  ไม่รู้ไม่เห็นทั้งนั้น

          สำหรับแม่เด็ก น้องซาน/น้องส่าน  ไปกับแม่และกลับกัมพูชาเลย  แม่โทรมาตอนหกโมงเย็นกลับถึงปอยเปตแล้ว  ขอโทษครู  ทำให้ครูจิ๋วเดือดร้อน   แต่แม่ต้องทำแบบนี้  ไม่อยากให้พรากลูก  แล้วพรากทีเดียว 2 คน  แล้วฉันจะอยู่อย่างไร

          ครูเงียบฟังอย่างเดียว   แม่เด็กก็ร้องไห้ทางโทรศัพท์   ครูเงียบ  แล้วบอกคำเดียว รักถูกหรือรักผิด  กันแน่ 

          ถ้าแม่รักลูกจริงๆ  ลูกทั้ง 2 คน ต้องได้เรียนตามสิทธิของเด็ก   รักแบบแม่คือรักแบบผิดๆ  เอาเด็กไว้ใกล้ตัว ให้ขอทานเลี้ยงแม่    แล้วแม่บอกว่ารัก

          สำหรับครู  แม่ไม่ได้รักลูกอย่างแท้จริง   แม่เอาประโยชน์กับเด็กมากกว่า....