ทำไม.........ต้องมีโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่...(ตอนที่ 1)
ผู้จัดการโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
เช้าวันที่ 26 สิงหาคม 2562 ครูได้นัดสัมภาษณ์ให้กับทีมงานของ “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” กองทุนเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561 คำถามที่ให้ครูที่ให้สัมภาษณ์ ว่า “ทำไม.........ต้องมีโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่”
สำหรับครูเอง ต้องใช้เวลาทบทวนว่า ทำไม....ครูต้องคิด ต้องทำ และต้องมีโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่
คงต้องเริ่มตั้งแต่ครูมาสมัครเป็นอาสาสมัคร ในปี พ.ศ.2531 ในเดือนพฤษภาคม งานที่ครูเริ่มในการทำงาน คือ โครงการครูเดินสอนในแหล่งก่อสร้าง หน้าที่คือเดินหิ้วกระเป๋า หรือ สิ่งของ ซึ่งเริ่มงานครั้งแรกที่บริษัทปรีชา สอนในแหล่งก่อสร้างที่หมู่บ้านปรีชา 9 เขตมีนบุรี ในขณะนั้นไม่มีโรงเรียน ครูกับเพื่อนครูต้องอาศัยห้องพักที่ร้างของคนงานก่อสร้าง เป็นโรงเรียนชั่วคราว ในการสอนหนังสือเด็กๆๆที่ติดตามพ่อแม่มาทำงานในแหล่งก่อสร้าง
ตัวครูก็ย้ายไปเปิดศูนย์เด็กก่อสร้างแห่งใหม่ ที่พุทธมณฑล สาย 2 การก่อสร้างหมู่บ้านชวนชื่น ของบริษัทมั่นคงเคหะการ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการที่เจ้าของโครงการฯที่มามีส่วนร่วมออกค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารกลางวัน กลายมาเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเจ้าของโครงการแหล่งก่อสร้างกับทางโครงการฯในเรื่องสนับสนุนงบประมาณค่าอาหาร ค่าเงินเดือนครู ค่าทัศนศึกษา และรักษาพยาบาล
จนเมื่อปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมาที่ทางโครงการฯ ขายงานไปยังสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าของพื้นที่ ที่อนุญาตให้มีการก่อสร้าง ควรที่จะมีศูนย์เด็กก่อสร้าง และเปิดรับเจ้าหน้าที่พักตามสถานที่ก่อสร้าง ทางมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ได้เริ่มโครงการรถสัญจร ไปตามแหล่งก่อสร้างด้วย รถมินิ งบประมาณจาก Save the Children Japan ให้งบประมาณในการดำเนินการจำนวนหนึ่งในการซื้อ ตระเวนไปตามแหล่งก่อสร้าง โดยการให้ความรู้กับคนงานก่อสร้างเรื่องการวางแผนครอบครัว โรคที่เกิด โดยอาศัยเครื่องฉายหนัง 16 มิล พร้อมทั้งขอยืมฟิลม์มาจากหน่วยงานต่างๆ เป็นแผ่นฉาย
สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือการเสริมบทบาทของครูศูนย์เด็กก่อสร้างในการทำงานกับผู้ปกครองเด็ก โดยการอาศัยสื่อต่างๆ พร้อมการแลกเปลี่ยนข้อมูล
เมื่อปี พ.ศ. 2540 เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ การลดค่าเงินบาท การกระทบกับงานก่อสร้าง และบริษัทที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้รับกระทบ ทำให้ศูนย์เด็กก่อสร้างต้องยุติการทำงาน เพราะไม่มีงบประมาณในการดำเนินการ และต้องยุติเพราะคนงานก่อสร้างกลับไปยังชนบท ไม่มีเด็ก พร้อมทั้งแหล่งก่อสร้างต่างๆ ไม่มีบุคคลที่ซื้อขาย
เมื่อปลายปี พ.ศ. 2549 เริ่มมีบริษัทก่อสร้าง ได้ติดต่อที่อยากจะเปิดศูนย์เด็กก่อสร้างอีกครั้ง โดยเฉพาะเจ้าของโครงการนารายณ์ พร๊อพเพอตี้ สร้างเดอะพารค์แลนด์ศรีนครินทร์ ระยะเวลาการก่อสร้างจำนวน 3 ปี พร้อมอาคารสถานที่ กับงบประมาณสนับสนุนอีกครั้ง สุดท้ายทางบริษัทยุติการสนับสนุนตั้งแต่ปี 2554 ทางโครงการพยายามหางบประมาณเพื่อให้โครงการศูนย์เด็กก่อสร้างเดินต่อได้ในปี 2556 และ 2557 จาก “กองทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์ ” และประคับคองโครงการให้ดำเนินต่อมาจน ปลายปี 2559 พร้อมกับ บริษัทหันมาสนับสนุนโครงการอีกครั้ง
จนเมื่อเดือนมีนาคม 2559 ทางกรรมการผู้จัดการบริษัทนารายณ์ มาพบกับครูพร้อมมาเลี้ยงอาหารเด็กที่มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ได้พบกับครูจิ๋วอีกครั้ง ว่าอยากทำอะไร บอกทันที่ว่า อยากได้รถลงพื้นที่ไปตามแหล่งก่อสร้าง ที่ต้องการเปิดศูนย์เด็กก่อสร้าง แต่ทางโครงการไม่สามารถเปิดศูนย์เด็กก่อสร้างด้วยงบประมาณที่สูงมากในแต่ละเดือน และหาคนที่จะต้องจัดการเรียนการสอน ที่จะนอนในแหล่งก่อสร้าง หาคนทำงานไม่ได้เลย มีแต่จะเข้ามาสอนเวลา เก้าโมงเช้า กลับสี่โมงเย็น เด็กได้ประโยชน์ไม่เต็มที่ และครูกับผู้ปกครองเด็กไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย
ทางบริษัทนารายณ์พร๊อพเพอตี้ ได้มอบรถ โรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ พร้อมทั้งอุปกรณ์การเรียนการสอน ทีวีเครื่องเสียงประจำรถให้ทางโครงการฯ
สำหรับครูมารับโครงการจริงๆ พร้อมดำเนินการในวันที่ 1 มิถุนายน 2560 พร้อมทั้งวางแผนการดำเนินการแบครบทุกวัน มีพื้นที่ โดยตรง ปีพ.ศ. 2560 จนถึงสิ้นที่ 2561 จำนวนพื้นที่จำนวน 12 พื้นที่ และมีพื้นที่สำรวจอีก 6 พื้นที่
ในปี พ.ศ. 2562 มีพื้นที่ลงไปดำเนินจำนวน 16 พื้นที่ จัดเป็นพื้นที่ลงจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การเสริมทักษะ จำนวน 8 พื้นที่ อีก 8 พื้นที่สัญจรเป็นช่วงเวลา ด้วยมีเด็กน้อยและการก่อสร้างเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น กิจกรรมที่ทางโครงการดำเนินการ
ด้านการศึกษาสำหรับเด็กลูกกรรมกรก่อสร้าง
1.ทางโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ดำเนินการ คือนำโรงเรียนเด็กก่อสร้างที่เป็นรถเคลื่อนที่ไปทุกสองอาทิตย์พบกัน 1 ครั้ง พร้อมการเสริมทักษะ การเล่นของเล่นเป็นสิ่งที่เด็กโหยหาแม้จะเป็นของเล่นมือสอง-มือสามแล้วก็ตาม การทำกิจกรรม การเล่านิทาน การร้อยสร้อย การระบายสี เป็น เด็กที่เข้าร่วมกิจกรรม ตั้งแต่ มกราคม-สิงหาคม 2562 จำนวน 165 คน เด็กไทยจำนวน 94 คน เด็กกัมพูชา จำนวน 71 คน
2.การประสานงานในเรื่องให้เด็กได้รับการศึกษา หรือจัดหาอุปกรณ์การเรียนให้เด็ก เช่นโรงเรียนเปรมประชา โรงเรียนประชาอุทิศ โรงเรียนวัดสร้อยทอง โรงเรียนวัดนครอินทร์ โรงเรียนบ้านบึงพัทยา และทั้งประสานงานหางบประมาณ สำหรับเด็กกัมพูชาที่เข้าเรียน โรงเรียนสามัคคีบำรุงราษฎร์ จำนวน 2 คน
3.ประสานงานและส่งต่อเด็กเร่ร่อน จำนวน 2 คน เพื่อให้เด็กได้รับโอกาสที่ดีในการดำเนินชีวิต เด็กชายชาตรีฯ ทำงานร่วมกับทีมบ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพในการรักษาเรื่องการเรียนรู้บกพร่อง ต้องมีการตรวจสุขภาพจิตของแม่และของเด็ก ผลออกมาจำเป็นต้องส่งเด็กเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
4.ประสานงานในการจัดหาอุปกรณ์การเรียนให้กับกลุ่มเด็กที่เข้าเรียนในระบบการศึกษา จำนวน 36 คน ซึ่งมีกระเป๋า รองเท้าเท่าที่ทางโครงการฯมี สมุด อุปกรณ์การเรียน สีไม้ สีเทียน สำหรับการจัดหาชุดนักเรียน ชุดปฏิบัติธรรม ชุดเสื้อผ้าตามจังหวัด ขอพิจารณาเป็นรายกรณี สิ่งที่ต้องจ่ายค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะเด็กชาวกัมพูชาที่เข้าเรียนจำนวน 2 คน ที่โรงเรียนสามัคคีบำรุงราษฎร จังหวัดปทุมธานี ทางโครงการฯ จ่ายร่วมกับครอบครัวจำนวน 80 เปอร์เซ็นต์
ด้านในเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน เด็กพิการ
1.ในด้านการเยี่ยมเยียน เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจในการดูแล ให้คำปรึกษาแก่ครอบครัวในการเลี้ยงดูแลเด็กที่พิการ และพิการแบบติดเตียง การแบ่งปัน ข้าวสารอาหารแห้ง นม ขนมหวาน แพมเฟิส และเครื่องใช้สำหรับเด็ก สบู่ ยาสีฟัน เป็นครั้งคราว
2.แนะนำครอบครัวของเด็กหญิงพนทิพา อาจเค มีความพิการทางสมอง ที่เกิดจากอาการชัก ในช่วงอายุ 5 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากไข้สูง แล้วไม่ได้พาไปหาหมอ เพียงแค่ให้กินยาแก้ปวด จึงส่งผลกลายเป็นพิการ ทั้งครอบครัวพยายามให้เด็กได้เข้าถึง ตั้งแต่บัตรคนพิการ การทำบัตรประชาชนที่ควรได้รับการดูแล ทางโครงการลงเยี่ยมสม่ำเสมออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
3.แนะนำครอบครัวของเด็กชายวิชา นิยมพันธ์ มีความพิการทางสมองตั้งแต่กำเนิด เป็นครอบครัวเมื่อคลอดออกมาพร้อมความพิการทางสมอง แม่เด็กได้ปรึกษาคุณหมอในการรักษาพยาบาลตลอด แต่ทางโรงพยาบาลบอกว่ารักษาตามอาการที่เกิดของเด็ก แต่ครอบครัวก็ดูแลเด็กอย่างต่อเนื่อง พาไปฝึกการเดิน การช่วยเหลือตนเอง แต่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงด้วย เสียงญาติพี่น้องหลายคนก็บอกว่าส่งเด็กน้อยให้ไปอยู่สถานสงเคราะห์เถอะ พ่อกับแม่พูดว่า ดูแลกันไปจนตาย สิ้นบุญสิ้นวาสนาก็ หมดเวรหมดกรรม
คำบอกเล่าที่กล่าวมาข้างต้นเพียงจุดเริ่มต้นของโครงโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่เท่านั้น ย้อนกลับไปที่น้องนักข่าวว่า อยากฟังต่อไหม
น้องนักข่าว รถโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่คันเดียว สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในการทำงานได้อย่างมากเลย