การรอคอยของน้องเดฟ อดีตเด็กเร่ร่อน (ตอนที่ 2 สมบัติที่มีชีวิตของ...ชุมชน)
นางทองพูล บัวศรี
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
การรอคอยคือการทรมาน สำหรับน้องเดฟเอง ครูขอร้องว่าให้ น้องเดฟอยู่กับที่ คือใต้ทางด่วนตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 จนถึงเดือนมิถุนายน 2562 ห้ามเคลื่อนย้ายไปตามเพื่อนโดยเด็ดขาด เพราะวิถีของเด็กเร่ร่อนจะเทกันไปตามเพื่อน เช่น พากันไปเก็บขยะที่สีลม พัฒนพงษ์ ไปหาผู้หญิงที่สะพานพุทธ เป็นต้น
สำหรับครูการรอคอยจังหวะที่จะพาทีมงานขึ้นไปตามแหล่งที่อยู่ของน้องเดฟที่บุรีรัมย์ และที่สำคัญเวลาของครูเองที่หมดไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาที่เด็กเร่ร่อนเข้าเรียนและเปิดเทอมการศึกษา แล้ว จะวุ่นวายอยู่กับการพาเด็กเข้าเรียน
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2562 พร้อมทีมงานต้องไปจัดกิจกรรมโครงการด้วยรักและห่วงใยจากคุณยายสู่หลานๆ ที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กบุรีรัมย์ ในช่วงเช้า ช่วงบ่ายโมงจนถึงช่วงเย็น
ทีมงานประกอบไปด้วยครู พร้อมทีมงานครูซิ้ม ครูจอย และพี่ป้อม พี่แขก พี่ทั้งสองต้องไปด้วย และเราได้คนในพื้นที่ คือ นายกำลา สาลี เป็นอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนคูเมืองวิทยาคม ที่เชียวชาญในหมู่บ้านหลักเขต ท่านบอกว่าคนบริเวณเป็นกลุ่มคนที่พูดกัมพูชา เพราะอยู่ห่างแค่ 5 กิโลเมตรเท่านั้น จากชายแดน แต่ห่างจากเมืองบุรีรัมย์ประมาณ 27 กิโลเมตร
หมู่บ้านนี้ เดิมเป็นนักเลงกันมาก มีการลักควายลักวัว ใช้ความรุนแรง และเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ครูที่จะย้ายมาโรงเรียนตำบลแห่งนี้ส่วนมากไม่มีใครย้ายมา ส่วนมากเป็นกลุ่มคนที่ไม่เรียนหนังสือ บางครอบครัวก็อพยพไปทำงานต่างถิ่น มีบางคนที่กลับมาเป็นครั้งคราว
ครูเล่าเรื่องของน้องเดฟให้ฟัง ทุกคนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะท่านผู้อำนวยการขันรับอาสา ที่จะเข้าไปหมู่บ้านทันที
ทุกอย่างจึงเริ่มต้นหลังจากรับประทานอาหารกลางวัน
1.การเดินทางโดยการใช้รถตู้ ที่มีสัญลักษณ์ ของ “มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก” มีความน่าเชื่อถือ และสามารถติดตามได้ว่าเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง สำหรับการเดินห่างไกลพอสมควร ที่สำคัญต้องรู้ว่าคณะของพวกเรา เป็นใคร มาจากไหน
2.เมื่อถึงเทศบาลหลักเขต ไปพบกับท่านปลัดเทศบาล และแนะนำว่าพวกเราจำนวน 7 คน มาจากที่ไหน แล้วจะมาทำอะไร ขอข้อมูลอะไร เป็นที่แตกต่างของเจ้าหน้าที่เทศบาลหลักเขตเป็นอย่างมาก แต่ทุกคนก็ใคร่รู้ว่า จะมาทำอะไรกันในเทศบาลแห่งนี้
-คุยรายละเอียดกับท่านปลัดเทศบาลถึงน้องเดฟที่อยู่ในหมู่บ้านไผ่สีทอง ปลัดโทรหาท่านประธานสภาชุมชน ที่มีบ้านอยู่ในหมู่บ้าน
-เชิญเด็กหนุ่มที่มาเป็นเขยที่หมู่บ้านไผ่สีทอง บอกว่าจะขับรถมอเตอร์ไซด์ไปยังหมู่บ้านแห่งนี้
3.เมื่อไปถึงบ้านไม่พบประธานสภาชุมชน พบแต่ลูกสาว ที่อยู่กับหลานในบ้าน ลูกสาวบอกให้คอยกันก่อน เดี๋ยวก็มาเพราะไปดูลูกจ้างใส่ปุ๋ยนาข้าว
-สำหรับลูกเขยของคนในหมู่บ้านพอเอ่ยชื่อใคร ก็เอามอเตอร์ไซด์วิ่งไปรับหมู่ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 13 มาก่อน จนประธานสภาชุมชนมา ท่านเป็นคนอัธยาศัยดี พอเห็นเอกสาร บัตรประชาชนของแม่น้องเดฟ ทุกคนส่งเสียงว่า อยู่ที่หมู่บ้านนี้เขาเรียกกันว่า “ไอซ์” ตาพิการ มองเห็นแบบริบรี แต่เป็นคนที่จำสถานที่แม่นมาก แม่มีสามีหลายคน น้องเดฟ มีพี่น้องอยู่ 2 คน บ้านหลังนี้เคยให้อาหาร ให้ข้าว ให้น้ำ แล้วแกก็บอกว่าให้ไปรับ ยายจิต, ยายสำรวย มาให้ครบ แล้วมาดูรายละเอียด
-เมื่อทุกคนมากันครบ ก็เริ่มพูดภาษาถิ่นเฉพาะกัมพูชากัน สำหรับครูฟังออกบ้างไม่ออกบ้าน แต่พี่ป้อมชัดเจนว่าอย่าพูดเสียงในฟิลม์กันเฉพาะกลุ่มให้พวกเรารู้ด้วย
4. เมื่อยายจิตมาถึง ครูก็เขาไปอธิบาย ที่ไปที่มาของน้องเดฟ ทุกคนยืนยันว่าน้องเดฟอยู่ที่ในหมู่บ้าน เห็นและเลี้ยงกันมาตั้งแต่เล็ก แม่กับพ่อย้ายออกจากหมู่บ้านนี้ประมาณ 9-10 ปี ที่ไม่เคยเจอกันเลย ครอบครัวของน้องเดฟออกจากหมู่บ้านไปนั้น มีเพียงแม่มาเยี่ยมที่หมู่บ้านนี้เพียงครั้งเดียว แต่แม่มาคนเดียว ถามหาผัว-ถามหาลูก แม่ก็ยืนยันว่าลูกสบายดี เขามีลูกใหม่แล้วอีกหนึ่งคนเป็นเด็กผู้หญิง ที่อยู่ภาคใต้ เด็กโตสักประมาณ 3-4 ปี เท่านั้น
ยายจิตเองได้แต่มองหน้าครู แล้วก็บอกว่า ขอบใจหลายเด้อ...อีครู ถามหากันอย่างไร แล้วดึงรูปจากมือครูไป บอกว่าอยากเห็นชัดๆ รูปหลานชาย
ครูทำประวัติน้องเดฟ พร้อมรูปถ่ายในท่าทาง จำนวน 5 รูป ตั้งแต่เจอครั้งแรกในช่วงปี 2560 แล้วมีนักศึกษา มาสัมภาษณ์ พร้อมเริ่มเปิดเผยข้อมูล จนรูปสุดท้ายที่ถ่ายคือเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2562 เป็นรูปปัจจุบันที่สุด
ยายสำรวย เป็นคนที่ให้ข้าวปั้นที่ ปั้นเป็นท่อนๆ แล้วใช้วิธีการหักออกเป็นท่อน ส่งให้กินเป็นประจำ จนกว่าแม่หรือยายเด็กจะมารับ บางวันก็นอนค้างที่บ้านยายสำรวย ยายสำรวยบอกว่ารักเหมือนลูก เจ้าเดฟกับเจ้าตั้มนะ คนอื่นไม่เอา
ผู้ใหญ่บ้านหมูที่ 13 เป็นผู้ใหญ่บ้านได้เพียง 3 เดือน เท่านั้น แต่คนในหมู่บ้านรักแกมาก แกเป็นลูกหลานของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ เห็นเด็กสองคนมาตั้งแต่เกิด เคยชอบแม่เด็กด้วยใช่ไหม เสียงกระเซ้า เล่นเอาเสียงหัวเราะกันลั่นหมู่บ้านไปเลย ใครไป-ใครมา ก็แวะมาดูภาพเจ้าเดฟ
น้องเดฟเหมือนสมบัติของคนในหมู่บ้านที่มีชีวิต แต่หายไปจากหมู่บ้าน เมื่อจะมีคนมาส่งคืนให้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ทุกคนในชุมชนจึงพากันตื่นเต้น...ยินดีปรีดาที่จะได้กลับมา
มาถึงท่านประธานสภาชุมชน คนนี้เป็นคนโสดอายุประมาณสักหกสิบกว่าปี บอกว่าครูจะให้พวกผมชวยอะไรก็บอกมาเลยครับ น้องเดฟเป็นเด็กในชุมชนนี้ มันวิ่งเล่นอยู่หรือนั่งที่บ้านผมนี่แหละ มันกิน-มันนอน
5.เมื่อทุกคนยืนยันว่าน้องเดฟอยู่ที่ชุมชนแห่งนี้ คำถามสำหรับวันนี้ ถ้าครูมาน้องเดฟกลับมาในชุมชน เพื่อมาทำบัตรประชาชน เพราะน้องเดฟมีเอกสารทุกอย่างแล้ว มีใบเกิด มีชื่อในทะเบียนบ้าน มีเอกสารตัวตนที่ยังไม่ได้ทำบัตรประชาชนทั้งหมดแล้ว ในขั้นตอนต่อไป คือทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต้องไปที่อำเภอให้ปากคำหลักฐานว่าน้องเดฟ อยู่ในชุมชนแห่งนี้
ซึ่งต้องมีทั้งผู้ใหญ่บ้าน 2 หมู่บ้าน คือ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3, และผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13, ยายจิต (ยายที่เป็นยายที่เลี้ยงแม่มา),ยายสำรวย ที่ให้ข้าวให้น้ำ ดูแล ตอนเล็กๆๆทั้งหมด ,คุณลุงประธานสภาชุมชน ทุกคนตอบตกลงกันหมดทุกคน ขอให้ครูโทรนัดล่วงหน้ามา
ครูเองตื่นเต้นค่ะ ไม่คิดว่ามาถึงหมู่บ้านแล้วทุกคนให้ความร่วมมือ เป็นอย่างดี และมีเสียงของท่านผู้อำนวยการ ว่าขอบคุณหลายๆเด้อพี่น้อง ให้โอกาสน้องเดฟเป็นคนไทยเพิ่มอีก 1 คน เป็นการทำกุศลร่วมกัน ทุกคนหัวเราะ น้องเดฟคือสมบัติของชุมชน....
เมื่อกลับเข้าตัวเมือง ครูจึงขอประชุมในการทำงานบ่ายนี้ ท่านผู้อำนวยการสรุปอย่างชัดเจน คือ
1.ความน่าเชื่อถือของคณะครู โดยเฉพาะเรื่องพาหนะในการเข้าถึงหมู่บ้าน แสดงความชัดเจนว่า มาจากหน่วยงานไหน มาทำอะไร หน่วยงานราชการที่เขาเห็นก็มีความน่าเชื่อถือเป็นประการแรก และเป็นด่านแรกที่หน่วยงานในจังหวัดต้องให้ความร่วมมือ
2.เอกสารทุกอย่างที่ครูไปขอจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมประวัติที่พบน้องเดฟ พอชาวบ้านเขาเห็น เขายืนยันความเป็นตัวตนของเด็กได้ การทำอย่างนี้รู้ว่าต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก แล้วชาวบ้านเองก็ดีใจ มีคนมาเยี่ยมในหมู่บ้านของเขา
3.น้องเดฟคือสมบัติของชุมชน การคืนเด็กกลับมาชุมชน ที่สำคัญจดจำน้องเดฟ น้องเดฟเองเขาก็มีบุญอย่างมาก ที่คนในชุมชนรับมาเป็นสมาชิก