banner
พุธ ที่ 27 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562 แก้ไข admin

ต่อรอง...กับหน่วยงานถึงมีโอกาสเข้าถึงสิทธิ


 นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

          จากการทำงานของโครงการครูข้างถนน ที่ลงลึกไปยังครอบครัวของเด็กที่ติดตามแม่ออกมาขอทานข้างถนน  ซึ่งมีจำนวนมาก  แต่กระบวนการช่วยเหลือที่ครูใช้ในการลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ จนเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจ ที่จะบอกกล่าวครู  หรือการช่วยเหลืออย่างด้วยความจริงใจในการทำงานกับกรณีศึกษา  จนได้มีโอกาสเข้าถึงบ้านของกรณีศึกษา  บางครั้งครูก็ต้องมีการต่อรองเพื่อให้ลูกของกรณีศึกษาเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรได้รับ จนเป็นที่สนใจของนักศึกษาระดับปริญญาโท  ที่ต้องการทำงานวิทยานิพนธ์   สำหรับครูคือโอกาสให้สังคมได้รับรู้ถึงกระบวนการทำงาน เป็นรายกรณี  เพื่อแก้ไขการขอทาน  แล้วเปลี่ยนอาชีพ

          ด้วยสภาพปัญหาของกรณีศึกษา    เป็นแม่ของน้องหยังเออ (นามสมมุติ) มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน สี่สามี รวมถึงคนปัจจุบันที่เขามาดูแลเพราะสงสาร แม่ของน้องหยังเออเขาเดิมเขามาทำงานในเมืองไทยตั้งแต่อายุ 12-15 ปี ทำงานเป็นคนช่วยขายของที่ตลาดโรงเกลือ มาพบกับสามีคนแรก ก็พากันมาทำงานก่อสร้าง อยู่กับผู้รับเหมาโดยโกงค่าแรงเป็นประจำ จนมีลูกก็อดทนกัน จนสามีคนแรกเสียชีวิตอุบัติเหตุหล่นนั่งร้านตกลงมาตาย ไม่มีเงินทำศพผู้รับเหมาจัดการเผาให้ ตอนสุดท้ายเหลือเงินสามพัน แล้วต้องย้ายออกจากไซด์งาน จนมาเจอเพื่อน เพื่อนที่มาอยู่ที่ซอยเปรมฤทัย จึงมาอยู่ด้วยโดยการเหมาบ้านอยู่ต่างหาก งานไม่มีทำลูกเล็กแค่ สี่ปี คนโต คนเล็กแค่สองปี จึงพากันออกขอทาน แต่เดิมคนขอทานน้อย จึงไม่ถูกรบกวนจากตำรวจ 



             จนมาถึงปี 2546 เริ่มมีการจับคนขอทานเป็นคดีค้ามนุษย์ ฉันโดนจับเป็นครอบครัว เขาแยกแม่แยกลูกทันที่ ลูกชายฉันสองคนปานนี้คงโตแล้วอายุกว่า 15 ปีแล้วนะ อีกคนประมาณ 13 ปี ตั้งแต่ส่งกลับประเทศฉันไม่เยี่ยมไม่เคยเจอเขาบอกว่าไปอยู่ที่ต่างประเทศ เขาบอกว่าตามญาติไม่เจอไม่มีญาติ จึงให้ฝรั่งไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เด็กช่วงแรกๆไม่มีครอบครัวเจอลูกเลย ฉันก็อยากพบลูกเหมือนกัน
ฉันอยู่ที่ซอนเปรมฤทัยมาตลอด จนมีคนแนะนำให้รู้จักผู้ชายอีกคนเป็นชาวกัมพูชา จนรู้จักกันมีลูกด้วยกัน อีกสองคน ลูกสาวคนโตอายุ 12 ปี กับลูกชายอายุ 10 ปี และน้องหทัย อายุ 7 ปี สามคนนี้พ่อเดียวกัน อยู่กันต่างก็ทำงานหาเลี้ยงลูกฉันทำงานก่อสร้างด้วย  เมื่อเกิดเงินไม่พอเลี้ยงลูกฉันยอมรับว่าฉันพาลูกออกไปขอทานเป็นครั้งคราว แต่พ่อของเด็กเขาก็ไปมีครอบครัวใหม่ทิ้งลูกสามคนอยู่กับฉัน ฉันก็ต้องเลี้ยงหมด  ดีว่าครูจิ๋วกับครูมุ้ยพาเขาเรียน และให้อาศัยกิน-อยู่ ที่บ้านครูมุ้ยเลย มีบางครั้งที่แบ่งปันข้าว อาหารแห้ง ขนม นม มาให้นอนเป็นครั้งคราว เลยพออยู่ได้ 
                 มาเจอสามีคนที่สามเป็นคนพิการ ดูเหมือนจะดูแลฉันได้ แต่เปล่าเลยกลายเป็นคนนิสัยไม่ดีชอบทำรุนแรงกับฉัน แต่มีน้องยังเออมาหนึ่งคน คนนี้ลำบากกับฉันมากที่สุด ไปไหนก็เอาไปด้วย คนอื่นยังทิ้งไว้กับคนในชุมชน น้องยังเออโดนจับมาตั้งแต่จำความได้ ไม่รู้กี่ครั้งก็แต่ก็ไม่เคยแยกกันเลย 
จนมาเมื่อปี 2558 ฉันโดนจับกันทั้งหมด 7 ครอบครัว เด็กสี่คนที่ได้เรียนก็โดนจับด้วย ครูมุ้ยไปที่โรงพักทองหล่อ เอาชื่อครูจิ๋วประกันตัวเด็กออกมาก จำนวนทั้งหมด 11 คน แล้วต้องมาฝากเลี้ยงไว้จำกว่า 84 วัน ที่บ้านครูมุ้ย   ได้พาเด็กไปพบนักสังคมสงเคราะห์ที่อัยการ พบกับหัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจะเอาไปไว้ที่บ้านเกร็ดตระการ จึงต้องมีการคุยกันเพื่อหาแนวทางออก



                จนปี 2559 ฉันเริ่มป่วย มีอาการหนักมาก หมอบอกแต่เพียงว่าเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง มาเจอสามีใหม่  และมีวัณโรค ซึ่งไม่ได้มีลูกด้วยกันเขาสงสารฉัน ช่วยฉันทุกเรื่อง บางครั้งเขาก็หนีไปแต่ย้อนกลับมาหาทุกครั้งไป จนเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 ฉันถูกจำโดย สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ฉันมีความผิดกฎหมาย 3 ฉบับด้วย คือพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ,พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546,พระราชบัญญัติการควบคุมการขอทาน พ.ศ.2559 โดยปรับจำนวน 6,000 บาท ขึ้นศาลเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2559 แต่เข้าแยกน้องยังเออไปไว้ที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด ทางตม.จะส่งฉันกลับประเทศสองครั้งแล้ว ฉันไม่ยอมเพราะยังไม่ได้ลูกคืน จนครูจิ๋วกับครูมุ้ยมาเยี่ยมเพราะฉันไม่ได้กินยาวัณโรคมาแล้ว 23 วัน ร่างกายฉันเดินไม่ไหว ไม่มีแรงเลย เดินเหนื่อยและหอบมาก
จนครูจิ๋วไปเอาลูกคืนมาให้ฉัน ฉันไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรดี ฉันกลัวเหมือนลูกคนโตสองคนแรก จะไม่ได้เจอหน้ากันอีก หลังจากส่งกลับประเทศมาก็เอาน้องยังเออไปฝากยายที่กัมพูชา มาอยู่กับสองชายสองคน ทำงานดูแลฉัน หาค่ายาไปเอาที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลก็ให้เสียครึ่งหนึ่ง ฉันเพิ่งเดินได้ 
วันนี้เจ้าของบ้านมาให้ออก จึงต้องพาลูกชายออกมาเป็นค่าเช่าบ้าน แต่ฉันเหนื่อยมาก แต่ต้องทนเพื่อลูก เพื่อครอบครัวของฉัน สู้ต่อ ครูจิ๋วครูมุ้ยช่วยฉันทุกเรื่อง


การทำงานช่วยเหลือกลุ่มแม่และเด็กเร่ร่อนต่างด้าว  บางกรณีศึกษา ต้องมีการต่อรองกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แม่เหล่านี้ ลูกทุกคนได้สิทธิขั้นพื้นฐาน  อย่างกรณีศึกษา  สิทธิแรกที่ได้คือ

          1.ลูกสามคนได้มีโอกาสเรียนหนังสือ ตามสิทธิขั้นพื้นฐานที่ระบุไว้ ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก กฎหมาย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ 2542 แก้ไข 2550  พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 และ ประกาศตาม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2535 เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการ จัดการศึกษาให้แก่เด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ใช้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐาน วัน เดือน ปีเกิดในการรับนักเรียน นักศึกษา เข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2535  เมื่อดำเนินการได้ระยะหนึ่งจึงเก็บข้อมูลจากการนำไปปฏิบัติที่ยังเป็นปัญหาและจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 เห็นชอบให้จัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยประกอบด้วยระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการรับนักเรียน นักศึกษา เข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548   โดยกรณีศึกษา ลูกสาวคนโต ได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4  น้องชายคนที่สอง  เรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2  น้องคนเล็กสุดเรียน อนุบาล 1 ที่โรงเรียนวัดมหาวงษ์

          2.เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาแล้ว แม่ของเด็กทั้งสามคนที่ทางโครงการครูข้างถนน กับ บ้านเด็กเร่ร่อนครูมุ้ย ร่วมกันดูแลอยู่ ป่วยเป็นวัณโรค  ที่ต้องการการรักษาอย่างต่อเนื่อง  หลังจากแม่กลับมากัมพูชา ต้องมารักษาอย่างต่อเนื่อง  จนเมื่อปลายปี พ.ศ. 2560 มีการทำประวัติสุขภาพเด็กในชุมชนเปรมฤทัย  ฉันพาลูกไปทำก่อนเลย  เพราะครูจิ๋วกับครูมุ้ย ช่วยฉันทุกเรื่องและต้องการให้ลูกทุกคนได้ตรวจอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี 2561 ทั้งปีมีการตรวจลูกทุกคน  สำหรับน้องหยังเอ่ยคนเดียวในครอบครัวที่ต้องมากินอย่างต่อเนื่อง และดูอาการทุกสามเดือนทั้งครอบครัว

          3.เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561  น้องยวนถูกจับคนเดียว  ฉันแทบเป็นบ้า  เพราะลูกสาวเริ่มโตเป็นสาวแล้ว ฉันโทรหาครูวุ่นไปหมด จนทางสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ได้ส่งน้องยวนไปพร้อมกับคนในชุมชน 5 คน  แต่การจะเดินทางกลับมาที่ชุมชน จำเป็นต้องมีค่าพาหนะกลับเข้าเมือง ฉันโทรประสานขอความช่วยเหลือจากครูจิ๋ว เป็นเงินจำนวน 2,000 บาท  ครูเขากำลังเดินทางไปสัมมนาต่างจังหวัด จึงขอให้ครูมุ้ยช่วยโอนไปให้ก่อน  เพราะโรงเรียนเปิดเทอมการศึกษา  ครั้งนั้นต้องการเอาเงินไปซื้อชุดเนตรนารีให้ลูกสาว  จนมาถึงบัดนี้ก็ยังไม่ได้ซื้อให้ลูกเลย

          4.เมื่อเดือนตุลาคม  2561  น้องหยังเออ  ปวดท้องอย่างแรงมาก  แม่เด็กจึงพาไปโรงพยาบาลสมุทรปราการ  แม่รู้ดีว่าต้องใช้เงินเยอะมาก  กลายเป็นว่าน้องหยังเออเป็นไส้ติ่ง  ซึ่งต้องผ่าตัดโดยด่วน  ค่าผ่าตัดหมดไป เกือบสีหมื่นบาท  เพราะโรงพยาบาลคิดแบบว่าเป็นคนต่างด้าวที่มารักษาในเมืองไทย  แม่กับลูกจะหาเงินมากมายมาให้โรงพยาบาล    การขอสงเคราะห์ก็แสนยาก  โดนทั้งพยาบาลว่า  ทำไหมเป็นคนต่างด้าวไม่มาพูดจา  หรือกระตื้อรื้อร้นที่จะขอความอนุเคราะห์จากโรงพยาบาล   มาคุย  ไม่ใช่พูดอยู่คำเดียวว่า เดี๋ยวครูมาจัดการให้   ครูเองก็ไปจัดการแต่ค่าใช้จ่ายมากมายขนาดนี้ ครูเองก็ไม่มีปัญหาจ่ายหรอก   จึงช่วยกันไป ครูจิ๋ว-ครูมุ้ย จ่าย 6,000  บาท  แม่เองก็หยิบยืมเขาไปหมด  ได้มากว่า 4,000 บาท  รวมกันประมาณ หนึ่งหมื่นบาท ก็พอควรกับการผ่าตัดไส้ติ่ง  ทางโรงพยาบาลจึงให้น้องหยังเออออกมาจากโรงพยาบาล

          สำหรับชีวิตที่ต้องดิ้นรนก็ยังไม่หมดปัญหา   น้องยวนออกไปขอทานอีก ถูกจำอีกครั้ง  ครั้งนี้ แม่เด็กไม่ได้บอก  แต่ครูรู้ บางอย่างก็ทำเป็นมองไม่เห็นบ้าง  เพราะความจนก็ต้องทำเพื่อให้ครอบครัวอยู่ได้

          น้องยวน บอกเล่ากับครูว่า แม่อยากให้ออกจากโรงเรียนไปทำงานช่วยแม่   ครูเลยบอกว่าเธอโตแล้วมีสิทธิ์ที่จะพูดกับแม่  ถ้าเธอออกจากโรงเรียนเมื่อไร  เธอก็เตรียมตัวกลับกัมพูชาไปได้เลย  ถึงจะมีบ้านที่กัมพูชาหรือไม่ก็ตาม  เพราะที่อยู่แบบไม่โนจับตอนนี้ เพราะมีมติ ครม.  เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559  ที่ยังอนุญาตให้เด็กที่เข้าเรียนตามช่วงชั้นที่เด็กเรียนอยู่ จึงมีสิทธิอยู่ได้  แล้วให้คำแนะนำกับน้องยวนไป เรื่องการช่วยเหลือครอบครัว

          5.ชีวิตของครอบครัวกรณีศึกษารายนี้  เหมือนชีวิตติดลบ  ยิ่งดิ้นก็เหมือนกับมีกรรมมากมายไปหมด เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 แม่ลูกถูกจับในข้อหาว่าเด็กค้าประเวณี/กับค้ามนุษย์  เพราะมีองค์กรเอกชนต่างชาติลงพื้นที่ แล้วส่งข้อมูลให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ  ว่าเด็กกลุ่มนี้ทำการค้าประเวณี   ครูต้องออกโรงอีกครั้งสำหรับกรณีศึกษาครอบครัวนี้   ทาง DSI ลงมาคุยรายละเอียดเป็นรายกรณีกันเลย ครูจึงต้องบอกว่าครั้งนี้ข้อมูลที่ได้รับมาเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด  แล้วครูเองทำงานกับเด็กในชุมชนนี้  และครูยืนยันว่าเด็กแค่ออกมาขอทานชั่วคราวเท่านั้นไม่ใช่ค้าประเวณี  ยิ่งครอบครัวนี้ครูช่วยมาอย่างระยะยาวนาน

          สุดท้ายครอบครัวนี้ ทั้งแม่และลูกอีก 2 คนก็ถูกส่งไปยังสถานคนไร้ที่พึ่งนนทบุรี เป็นเวลากว่า 2 เดือน ที่เด็กทั้ง 2 คน ต้องขาดเรียนไปเพราะข้อกล่าวหา

          ครูเองก็ไม่ยอมต่อรองกับทุกหน่วยงานตั้งแต่ศูนย์ปฏิบัติการขอทาน บ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร สถานคนไร้ที่พึ่งฯ ที่จะขอรับเด็กไปโรงพยาบาลตามคุณหมอนัด  และส่งเด็กคืนสู่โรงเรียน  ทางหน่วยงานให้ ครูจิ๋ว  ต้องขอร้องให้ทางบ้านครูมุ้ยรับเด็กมานอนที่บ้าน แล้วจ่ายสตางค์เป็นค่าใช้จ่ายไปโรงเรียนให้เด็กด้วย

          เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562  ต้องให้เด็กทั้ง 2 คนมา ตรวจ DNA ที่สถานคนไร้ที่พึ่งฯ  ครูจิ๋วจึงปรับเด็กทั้งรับ-ส่ง   ถึงจะยากลำบากแค่ไหน เด็กได้ประโยชน์ก็ยึดประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นที่ตั้ง

          จากการทำงานเป็นรายกรณี  ถึงต้องใช้ทั้งงบประมาณ  ทั้งเวลา  บวกด้วยความเครียดที่ทำร้ายร่างกายคนทำงาน  ถามว่าช่วยเหลือครอบครัวหนึ่ง  ส่งผลไปอีกหลายชีวิตด้วยกันที่มีที่ยืน  คุ้มยิ่งกว่าคุ้มอีก

          สำหรับการทำงานของโครงการครูข้างถนน  เป็นการช่วยเหลือให้เด็กเร่ร่อนต่างด้าว มีสิทธิทั้งการศึกษา  การรักษาพยาบาล ที่อยู่อาศัยอย่างปลอดภัย  คือช่วยเหลือเด็กในอาเซียนให้มีคุณภาพ