แนวทางการแก้ไขปัญหาที่ยังยืน ..ของคนเร่ร่อน/เด็กเร่ร่อน
นางสาวทองพูล บัวศรี
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
ด้วยข่าวตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว เรื่อง ตำรวจจับคนไร้บ้าน/คนเร่ร่อน ด้วยความรุนแรง กลายเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในการทำงานของผู้บังคับใช้กฎหมายแบบย่อยยับ จึงก็เป็นจริงดังคนที่สังคมคีย์บอด ได้เล่า ได้กล่าวถึง ในฐานะของคนทำงานภาคสนาม
มีโอกาสได้เข้าถึงข้อมูลของคนไร้บ้าน คนเร่ร่อน คนขอทาน ซึ่งตัวเลขในเชิงวิชาการลดลง แต่สภาพความเป็นจริงเพิ่มมากขึ้น ปัญหาสำหรับกรณีศึกษาก็เพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ยิ่งแก้เหมือนยิ่งวนกลับไปใช้ชีวิตแบบดั่งเดิม มีตัวคอยฉุรั้นให้กลับเป็นคนที่ใช้ชีวิตบนถนนอยู่ร่ำไป ด้วยหลายสาเหตุด้วยกัน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือคนบนถนน โดยเฉพาะการจัดระเบียบสังคม ยังเป็นนโยบายที่เด่นมาก แต่คนบนถนนกลับได้ประโยชน์น้อยมาก คนทำงานก็สุ่มเสี่ยงกับการถูกทำร้าย ไม่ได้เอาความจริงใจสร้างความไว้วางใจในการแก้ไขปัญหา ถูกจับส่งเข้ารับการคุ้มครอง เป็นวาทกรรมที่สวยหรู แต่คนไร้บ้าน/คนเร่ร่อน ไม่ต้องการ เขาอยากเข้าถึงสวัสดิการของรัฐเหมือนคนทั่วไปแต่เขาสมัครใจที่อยากนอนบนถนน ที่มีท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลเป็นมุ้ง การจัดหาที่นอนให้กลุ่มคนเหล่านี้
-ต้องมีความสบายแบบ เข้า-ออก ได้ ตลอดเวลา มีกติกาได้แต่ไม่ใช่กติกาที่เข้มงวดเกินไป เหมือนหน่วยงานต่างๆที่เข้าระเบียบเข้ามาจัดการ
-พูดคุยด้วยท่าทีที่เป็นมิตร เข้าใจ รับฟังความทุกข์หรือคำปรึกษาได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ใช้อำนาจในฐานะพนักงานของรัฐ
-เมื่อเจ็บป่วยได้รับการดูแล ด้วยความเอาใจใส่
-อาหารที่จัดให้มีคุณค่า มีพอกับจำนวนคนที่เข้าไปรับบริการ
-ที่นอน ที่อาบน้ำเพียงพอ รับได้ตลอดเวลา สำคัญสุดคือทีมงานที่ทำงานต้องเข้าใจ เข้าถึง พร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับเขาตลอดเวลา
สำหรับครูจิ๋ว ที่ทำงานภาคสนาม ไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีการ จัดระเบียบสังคม ถึงแม้จะเป็น "ผู้ทรงวุฒิในคณะกรรมการควบคุมคนขอทาน" ก็ตาม เพราะครูเองใช้วิธีการติดตามเป็นรายกรณี เข้าไปแก้ไขปัญหาเชิงครอบครัว เชิงชุมชน หาวิธีการพูดคุยกับกรณีศึกษา อย่างเข้าออกเขาใจ และการทำงานต่อเนื่องจนกว่ากรณีศึกษาจะช่วยเหลือตัวเองได้ โดยจะยกตัวอย่างในการดำเนินการในแต่ละครอบครัว
ครอบครัวนางใจ (นามสมมติ) เป็นครอบครัวเร่ร่อนมาตั้งแต่อายุ 13 ปี เคยมีสามีมาแล้ว 2 คน มีลูกที่โตมาแล้ว 3 คน สองคนเร่ร่อนไปอยู่ตามที่ต่างๆกับภรรยาที่เป็นเด็กเร่ร่อนด้วยกัน ลูกอีก 1 คน เป็นผู้ชาย อยู่สถานสงเคราะห์ เพราะเด็กอยากเรียนหนังสือ
แต่นางใจมีสามีใหม่ เป็นคนไทย ที่ใช้ชีวิตเร่ร่อนเหมือนกันอาศัยนอนตามใต้สะพานจนมาเจอกัน มีลูกอีก 2 คน มาใช้ชีวิตในสภาพไม่มีบ้านมานานแล้ว 10 ปี ในครั้งนี้ที่มาพบกับครอบครัวนี้ ใช้ชีวิตเร่ร่อนเป็นต่อมอมากกว่า 5 ปีแล้ว เท่ากับชีวิตลูกลูกคนโตโดยตรง ลูกคนเล็กเพิ่งอายุได้ 10 เดือน ตัวขาวเหมือนพ่อ ยิ่งโตยิ่งลูกพ่อขนานแท้ทีเดียวเลย
ครูกว่าจะทำงานกับครอบครัวนี้เร่ร่อน/ไร้บ้าน ครอบครัวนี้ได้ใช้เวลาปีกว่า กว่าเขาจะเปิดใจรับการพูดคุยกับครูได้ แต่ครอบครัวนี้ยังจุนเจือช่วยเหลือให้อาหารให้ข้าวกับเด็กเร่ร่อนอีก 9 คน ถึงแม้จะเป็นลูกด้วยก็ตาม เหมือนครอบครัวใหญ่ที่ต้องดิ้นร้น ดูแลทุกคนให้พอมีกินมีอยู่พอควร
ครั้งแรกที่ครูตามเด็กเข้าไปในช่วงปลายปี 2559 มาพบเด็กเร่ร่อนที่ทำให้ครูได้รู้จักใต้ต่อมอทางด่วน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ได้มีโอกาสพูดคุยถามหาเด็ก ในเดือนมิถุนายน 2560 ตั้งบัดนั้นเป็นต้นมาลงพื้นที่ อาทิตย์ละวัน แบบมีอาหารแห้ง ข้าวสาร มาม่า วุ้นเส้น ปลากระป๋อง นำไปแบ่งปันให้ชีวิตอยู่รอด ทั้งสร้างความคุ้นเคย ความไว้วางใจ ความจริงใจต่อกันทั้งครูและกรณีศึกษา จนแม่ใจกับครอบครัวและเด็กๆทุกคนคุ้นเคยให้ความเป็นกันเอง แต่ความในใจของแม่อุ้มที่ต้องการความช่วยเหลือก็ยังไม่เอ่ยจากปากแม่ใจเลย ในขณะนั้นแม่ใจกำลังท้องอยู่ กระบวนการของครูเตรียมการไว้หลายรอบด้วย สุดท้ายแม่ใจเป็นคนที่ต้องบอกสิ่งที่ต้องการ
1.แม่ต้องการมุ้งไว้กลางในช่วงกลางคืน เพราะยุงเยอะมากจริง มีเด็กด้วยคือน้องปอ ในช่วงนั้น กลุ่มเด็กเร่ร่อนวัยรุ่น ทั้งหลายกลางคืนจะเดินจากซอยสุขุมวิท 1 ถึง สุขุมวิท 21 เดินกันทั้งคืน จะกลับเข้ามาใต้ทางด่วนก็ตีห้า บางคนก็มาหกโมงเช้า แล้วนอนยาว กลุ่มเด็กโตไม่ต้องการอะไรเป็นภาระ สำหรับนางใจพร้อมครอบครัวจัดสถานที่นอนเหมือนเป็นบ้านอย่างชัดเจน ครูได้เพื่อนซื้อมุ้งมาให้ จึงแบ่งปันครั้งละ 1 ผืน เพราะผืนหนึ่งใช้ได้ประมาณ 4-6 เดือน เป็นการเริ่มไว้วางใจ
2.สิ่งของที่แบ่งปันเพื่อให้ทั้งครอบครัวแม่ใจกับเด็กๆเร่ร่อนวัยรุ่นอยู่ได้ก็คือ ข้าวสารอาหารแห้ง ทั้งหลายที่จะช่วยประทังให้มีชีวิตรอดร่วมกันได้ สิ่งหนึ่งที่เห็นตลอดคือการแบ่งปันของแม่ใจ เอื้ออาทรให้กับเด็กเร่ร่อน ครอบครัวเร่ร่อนทั้งไทยและต่างด้าว บางครั้งก็ต้องควักกระเป๋าตัวเองเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วย ซื้อยาให้ทุกคนบรรเทาแค่หาย ไม่ได้หายขาดไปจากโรคที่เป็น แม่ใจชอบบอกว่าให้มีชีวิตอยู่รอดไปแต่ละวันก็บุญแล้วครู แต่ครูกลับบอกและย้ำเตือนว่าทุกชีวิตมีค่าแล้วแต่การใช้ชีวิตของแต่ละคนมากกว่า ทำตัวให้ดีขึ้นมีงานทำ ขยัน ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ชีวิตก็ดี ถึงพวกเราทุกคนใช้ที่ใต้ทางด่วนเป็นบ้าน ทุกคนก็มีสิทธิเหมือนกัน
3.เมื่อแม่ใจท้องโตขึ้นทุกวัน ไม่ได้ฝาก เพราะกลัวเรื่องบัตรประชาชน ครูเองก็เฝ้ามองอยู่ห่างๆ ไม่พูดแบบพร่ำเผื่อ เพราะทุกสิ่งต้องออกมาจากความต้องการของกรณีศึกษา เพราะมันคือความต้องการ การทำงานของครูก็ต้องมีหลักยึดเหมือนกัน บางครั้งด้วยความปรารถนาดีจัดการทุกเรื่อง แต่พวกเขาไม่ใส่ใจ สิ่งที่ให้ก็ไม่มีค่า แต่ครูจะเน้นไปเรื่องความปลอดภัยกับเรื่องเอกสารใบเกิดของเด็ก ถ้าแม่ไม่มีบัตรประชาชน ทางโรงพยาบาลจะถือว่าเป็นเด็กต่างด้าว ย้ำเตือนอยู่เสมอ อีกสิ่งคือเรื่องค่าใช้จ่ายในการคลอดลูก ยิ่งไม่มีเอกสารโรงพยาบาลให้คลอดแต่ค่าใช้สูงเป็นหลักหมื่น ลองปรึกษากันดูระหว่างสามี-ภรรยา ว่ามีเงินไหม.... สิ่งเหล่านี้ครูจะทิ้งท้ายก่อนกลับทุกครั้งเมื่อลงไปเยี่ยม
จนสุดท้ายแม่ใจเป็นคนเอ่ยปากเองที่อยากทำบัตรประชาชน ซึ่งแม่ใจก็รู้ดีว่าต้องเอาญาติพี่น้องทั้งหมดมายืนยัน แต่ครูพาแม่ใจไปสำนักงานเขตปทุมวัน ที่เขารู้จักครูจิ๋วเป็นอย่างดี เพราะไปตามใบเกิดของเด็กบ่อยมาก
เมื่อทำตามขั้นตอน ระเบียบของการมีบัตรอีกครั้ง จนสามารถถ่ายบัตรประชาชนอีกครั้ง สังเกตเห็นแม่ใจถือบัตรไว้ตลอดเวลา แล้วก็บอกขอบคุณแล้ว ขอบคุณอีก แม่ใจจึงเล่ามาทุกหน่วยงานที่ลงพื้นที่ไปพบ ขณะที่พาลูกมาขอทาน ได้แต่เพียงบอกว่าให้ไปทำประชาชน ครูรู้ไหมว่าความกลัว มันมี ถ้าครูไม่พามาวันนี้ ก็คงไม่กล้ามาทำหรอก กลัวทุกคนที่เป็นราชการ ตั้งแต่ครอบครัวหนูเจอครูก็ทั้งสอนและพาไปทำให้ ครูทำด้วยใจจริงๆๆ แล้วก็มีเพพียงครูเท่านั้นที่ช่วย หน่วยงานต่างๆมาถ่ายรูปที่บ้านหลายหน่วยงานแล้วก็หายทั้งนั้น
ขั้นตอนนี้ครอบครัวแม่ใจกับเด็กๆ เริ่มไว้วางใจครู เพราะพร้อมที่จะไปไหนกับครู ไม่กลัวครูว่าครูจะเอาพวกเขาไปส่งสถานสงเคราะห์ งานเหล่านี้เชื่อใจกันค่ะ...
4.เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2561 ทั้งสามี-เด็ก(น้องเดฟ น้องอาท) ต่างโทรกันกระหน่ำหาครูกันลั่นไปหมด เพราะแม่ใจคลอดน้องแป้ง เพราะอุปกรณ์ของเด็กอ่อนไม่มีเลย แต่ครูได้เตรียมการไว้พอสมควร ค่าคลอดที่นกเหนือจากบัตร 30 บาท แล้วคลอดกรณีฉุกเฉิน เพราะไม่ได้มรการฝากครรภ์ก่อน ทางทีมงานโรงพยาบาลตำรวจมีการประสานงานกับครูเรื่องการขอความอนุเคราะห์ กว่าสองพันกว่าบาท น้องแป้งที่เกิดมาสมบูรณ์ครบทุกอย่าง
5.เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2561 ทางทีมงานของสามัญชนคนไทย ลงมาถ่ายทำพร้อมกับพูดคุยกับครอบครัวของแม่ใจ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทางทีมงานได้มอบเงิน 3,000 บาท ครูได้จัดการในการซื้อหม้อหุงข้าว กระติกน้ำ เพื่ออำนวยความในการดูแลเด็กอ่อน และในการหุงหาอาหารเลี้ยงคนในครอบครัวและเด็กเร่ร่อนที่มาอาศัยอยู่ด้วย อีกประการหนึ่งคือการทำอาหารกินกันเองเมื่อมีวัตถุดิบพร้อม
6.เมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 ได้พาเด็กหญิง วิชญชยากร ธนะวงศ์ (น้องปอ) พาไปประสานงานเรื่องเข้าเรียนที่ โรงเรียนวัดดิสหงราม(วัดมักกะสัน) เรียนชั้นอนุบาล 1 พร้อมทั้งเสื้อผ้า ชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียนของเด็ก เด็กมีความสุขในการเรียนพร้อมตั้งใจเป็นอย่างมาก แต่บางคืนแม่ของเด็กก็ยังออกไปเร่ร่อนขอทานเป็นครั้งคราว คืนละประมาณหนึ่ง-สองชั่วโมง เพื่อนำรายได้มาเลี้ยงครอบครัว
แม่ใจเองก็เคยถูกจับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งผู้บังคับใช้กฎหมาย และหน่วยงานที่ดูแล แต่ละครั้ง ก็พยายามใช้ความน่าสงสารและการดำรงครอบครัว ร่วมถึงการศึกษาของลูกเป็นการต่อรอง และทุกหน่วยงานก็มีการคาดโทษ
7.เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561 แม่ใจถูกจับในข้อกล่าวหาว่า "ครอบครองยาเสพติดเพื่อเสพ" แม่กับลูกต้องพรากจากกัน ในเวลาที่ช่วงคือ แต่ บทเรียนครั้งนี้ เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ของความเป็นแม่ เมื่อลูกกำลังกินนมแม่อยู่ น้องแป้งไปเคย ได้กินผงหรือนมขวดเลย ไม่เคยอยู่กับใคร นอกจากอกแม่ที่แสนอบอุ่น งานนี้ทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องวิ่งหาเงินตัวเป็นเกลียว ในการขอประกันตัวชั้นศาล ในการสืบสวนหาข้อเท็จจริงของผู้รักษากฎหมาย ในการจะหาผลงานก็ต้องผลงานเหล่านี้กับกลุ่มคนที่ไม่มีบ้าน/ไร้บ้าน/คนเร่ร่อน เพราะคนเหล่านี้ก็เคยรับใช้หรือบางคนก็เป็นสายดูแล บอกเบาะแสให้กับผู้รักษากฎหมาย เข้าทำนองเอาโจรจับโจร
แต่กลุ่มคนเหล่านี้โอกาสที่จะก้าวพลาดทางกฎหมายมีตลอดเวลา เพราะท้องมันหิว การหยิบฉวย อาหารหรือของมีค่าที่จะแลกเป็นเงินซื้ออาหารมาเลี้ยงตนเองเพื่อความอยู่รอด ความบันเทิงใจของคนเหล่านี้คือการอาศัย กิน-นอน เล่น ในร้านเกม
การเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ มันเป็นไปได้ยากอย่างสุดมือถึงเลยทีเดียว ด้วยเพราะว่า รัฐจะมองคนเหล่านี้เพียงแค่จับ แล้วส่งสถานสงเคราะห์ของรัฐเท่านั้น ซึ่งกระบวนการอื่น หรือการติดตามช่วยเหลือทำน้อยมาก
แต่สำหรับโครงการครูข้างถนน ให้ความสำคัญในการติดตามกรณีศึกษาระยะยาว ช่วยให้พวกเขาเข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐานของพวกเขาที่ควรได้รับเป็นขั้นต่ำ ซึ่งคน คนหนึ่งควรได้รับ
บทความที่ทำงานกับครอบครัวแม่ใจมาอย่างต่อเนื่อง
(1)บ้าน .....ของคนเร่ร่อน/ เด็กเร่ร่อน เผยแพร่เมื่อ วันที่ 3 กรกฎาคม 2560
(2)คนไทยต้องมีบัตร... ใช่ไหม เผยแพร่เมื่อ วันที่ 25 ธันวาคม 2560
(3)คนด้อยโอกาสช่วยกันเอง เผยแพร่เมื่อ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561
(4)ห้องเรียน ข้างถนน วิจัยเชิงคุณภาพ(ตอนที่ 3) เผยแพรเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2561
(5)น้ำตาตกที่.....โรงพัก เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561
การทำงานอย่างต่อเนื่อง ติดตามอย่างต่อเนื่อง คือการช่วยครอบครัวเร่ร่อน/ไร้บ้าน ให้เข้าถึงสวัสดิการของรัฐ เป็นกระบวนการทำงานเชิงรุก และเชิงลึก ใช้ความเข้าใจ เข้าถึง ให้โอกาสกับคนด้อยโอกาส ไดมีที่ยืน คือการพัฒนาที่ยั่งยืน