banner
ศุกร์ ที่ 31 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2561 แก้ไข admin

จัดการเรียนเป็นรายบุคคล เด็กเร่ร่อนต่างด้าว

 

นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

          การทำงานกับเด็กเร่ร่อนต่างด้าว  เป็นอะไรที่ต้องคิดหนัก ด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกัน  เพราะครูเองถูกกล่าวหามาตลอดในการทำงาน ตั้งแต่คำว่า "ส่งเสริมการค้ามนุษย์"  "ป้ามหาภัย"  "ช่วยพวกเขาทำไม เขาไม่ใช่คนไทย"   "คนไทยไม่มีทำแล้วหรือถึงต้องทำกับเด็กต่างด้าว"   ล้วนแต่เป็นคำพูดที่ทำให้คนทำงานหมดกำลังใจ 

          สำหรับการทำงานก็ต้องหาแรงบันดาลใจในการทำงานเหมือนกัน เพราะงานมันยาก กว่าจะคุยกันรู้เลย  กว่าจะเข้าไปนั่งในใจของเขา  กว่าครอบครัวและกรณีศึกษาจะคุยแล้วเปิดใจกับคนทำงานก็แทบจะถอยกันไปข้างหนึ่ง

          กรณีเด็กทั้ง 5 คนนี้ ต้องบอกได้เลยว่ามีลูกเยอะมาก เป็นเด็กในครอบครัวเดียวกัน ที่สู้กันมาทำงานกับครอบครัว คำเดียวที่ได้ยิน  "อยากมีงานและเงินใช้"  "อยากมีบ้านเหมือนคนอื่น"  "อยู่กัมพูชาก็อดตาย"   คำพูดเหล่านี้เหมือนเมื่อสักสามสิบปีที่แล้ว ที่คนต่างจังหวัดในประเทศไทยให้เหตุผลที่หอบลูกหอบหลานมาทำงานที่กรุงเทพในงานก่อสร้าง หรือรับจ้างทั่วไป   แต่สำหรับครอบครัวนี้ มาขอเงินตั้งแต่สิบห้า-สิบหกปีที่แล้ว


          ครูเองเจอครอบครัวนี้ครั้งแรกในปี 2555  โดยพาลูกๆมานั่งระหว่างทางเดินห้างพันธุ์ทิพย์พล่าซ่า กับเซ็นทรัลเวิลด์จำว่าครั้งแรกที่เห็นแม่พาลูกสองคนวิ่งเหมือนว่าครูเป็นตำรวจ    ช่วงหลังที่ทำงานด้วยกัน  จึงทราบว่า ทุกคนที่อยู่บนถนนเส้นนี้  ทุกคนกล่าวหาว่าครูเป็นสายของตำรวจที่ลงมาเก็บข้อมูลแล้วนำรูปถ่าย  ส่งให้ตำรวจกับ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รถสีชมพู่)  ที่วิ่งไล่จับอย่างเดียว  เมื่อครอบครัวไหนถูกจับ ถือว่าซวยมากเพราะขังคุกอย่างเดียว  แยกแม่กับลูกนานเป็นปี   เด็กบางคนก็กลับครอบครัวไม่ได้หาครอบครัวไม่เจอ  สิ่งเหล่านี้ออกจากปากของกรณีศึกษา

          งานนี้ต้องบอกได้เลยว่า ใช้เวลากว่าสี่ปี  แม่เด็กจึงปล่อยเด็กมารับนม ขนม ของเล่น เสื้อผ้า ที่พอจะแบ่งปันกัน  หรือบางครั้งเด็กก็จะเดินตามสะกดครูว่าไปทางไหน พูดคุยกับคนอื่นอย่างไร  มีครั้งหนึ่งตามครูตั้งแต่สยามจนถึงอโศก   ครูก็เดินย้อนกลับมาที่สยามอีกฝั่งหนึ่งของถนน  เพราะต้องการให้เด็กน้อยสองคนที่เดินตามกลับมาหาแม่ที่นั่งอยู่ที่สยาม    เป็นการเดินที่ระยะไกล แต่ได้เห็นอะไรมากมาย  ทำให้เด็กสองคนได้เรียนรู้ไปด้วย




          ตั้งแต่วันนั้นมาเด็กสองคนก็เริ่มพูดคุย  เห็นที่ไหนก็รีบวิ่งมาหากระเป๋าของครูที่บรรจุ นม ขนม  บางครั้งก็ขอสมุดระบายสีกับสีไม้  ไประบายที่บ้าน  ในช่วงนั้นลูกคนโตของครอบครัวนี้ยังเดินทางระหว่างกัมพูชากับไทย เด็กได้เรียนบ้าง  เด็กเองก็มีความสุขเห็นได้ชัด เพราะทุกคนที่เจอหน้ากันเด็กจะขอแต่อุปกรณ์การเรียนไปใช้   เด็กน่าจะเรียนได้แค่ ป.3 เท่านั้น ก็ต้องออกมาอย่างถาวร มาช่วยครอบครัวทำมาหากิน  ครูเองก็เริ่มทำงานกับครอบครัวนี้

          (1) พยายามเปลี่ยนอาชีพของครอบครัวนี้เพราะลูกสาว คนโต และลูกชายคนที่สอง  ยอมจ่ายค่าเรียนการร้อยมาลัยที่ศูนย์ฝึกอาชีพสวนลุมพินี ต้นปี 2558 พร้อมกับให้ครอบครัวไปทำงานรับจ้างที่ชุมชนบ่อนไก่  เพราะมีเจ้าของร้านมาลัยมาจ้างร้อยพวงละ 1 บาท  ดอกไม้และสิ่งของทั้งหมดเป็นของเจ้าของร้านดอกไม้  ครอบครัวนี้ฝึกทำกันทั้งครอบครัว  ซึ่งมีรายได้พอสมควรเลี้ยงลูกจำนวนมากได้บ้าง ถือว่า ได้อาชีพติดตัวอยู่    แล้วก็ขยับขยายมาขายดอกไม้เองบนถนน  โดยช่วงเช้าแม่จะไปซื้อดอกไม้แล้วกลับมาช่วยกันทำ ช่วงเย็น ลูกทั้งหมดสามคนแบกกระจาด กระป๋องมาตั้งร้านค้ากันคนละมุมถนน  ตั้งแต่ประตูน้ำ  หน้าห้างสยาม  จนมาถึงสะพานลอยตรงหอศิลปะของกรุงเทพมหานคร   ครูก็เป็นลูกค้าคนหนึ่งเป็นประจำ   แต่ครูมีกรณีศึกษาอีก สี่ครอบครัว ที่เปลี่ยนจากขอทานมาขายดอกไม้  ในการทำงานก็ถือได้ว่าเป็นการหาทางเลือกอาชีพดีกว่าไปนั่งขอทาน




          (2)  เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2560   ลูกสาวคนโตของครอบครัวนี้ถูกจับ ในบันทึกรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ   เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2561 เวลาประมาณ 20.40 น. จนท. สน........... ได้ดำเนินการเชิญตัวบุคคลที่นั่งขายพวงมาลัย ชาวกัมพูชา จำนวน 1 คน ชื่อ  น.ส.นิน อายุ 15 ปี  ซึ่งได้ทำการนั่งขายพวงมาลัยอยู่บริเวณหน้าวัดปทุมวันวนาราม  แขวง-เขต ปทุมวัน กทม. ซึ่งครอบครัวมีการใช้แรงงานเด็กอันรูปแบบอันเลวร้าย และใช้แรงงานเด็กที่ไม่เหมาะสมตามวัย  และเด็กไม่มีเอกสารหลักฐานในการแสดงตัวตนบุคคล จึงขอความอนุเคราะห์บ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร รับเด็กเข้าคุ้มครองสวัสดิภาพต่อไป  

มีลิงค์บทความ ขายพวงมาลัย.....ก็ถูกจับ http://www.fblcthai.org/?name=news&file=readnews&id=134

          กระบวนการกว่าจะหาลูกเจอว่าถูกส่งไปที่ไหนก็ต้องใช้เวลา  งานนี้ครูจึงต้องเข้าไปช่วยอีกครั้งในการตามหา น้องนิน   ความผูกพันของครอบครัวนี้ก็เริ่มมีมากขึ้นเลยๆ  ด้วยความจริงใจของครูที่ลงทำงาน


          (3)  เมื่อกลางเดือนเมษายน 2561  แม่อยากให้น้องนาด  กับน้องนุช เข้าเรียนในโรงเรียนที่ใกล้ชุมชนบ่อนไก่ คือโรงเรียนปลูกจิต  สังกัดกรุงเทพมหานคร  แต่ถ้าโรงเรียนไม่รับ  อ้างว่ารู้ระเบียบ เกี่ยวกับ “คู่มือและแนวปฏิบัติสำหรับการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย  ปี 2535  แก้ไข ปี 2548  ของ กระทรวงศึกษาธิการ   แต่ทางโรงเรียนไม่รับ  จึงต้องนำเด็กสองคนไปเรียนที่ศูนย์เด็กเล็กใต้แฟลตบ่อนไก่    เด็กไปเรียนบ้าง ไม่ได้เรียนบ้าง  เพราะค่าใช้จ่ายเดือนละ 300 บาท ที่ต้องจ่าย ทางครอบครัวมีบ้างไม่มีบ้าง   ก็ได้เรียนรู้ด้วยกันมาขึ้น  ได้เห็นว่าครูเองก็ต้องการให้เด็กได้เรียนหนังสือสู้กับความคิดเห็นของครูในโรงเรียน  แต่เทอมการศึกษาหน้าขอเปิดศึกกันอีกรอบหนึ่ง  สำหรับการเรียนของเด็กเหล่านี้   ครั้งนี้ครูก็ต้องทบทวนและเตรียมความพร้อมที่จะเห็นได้อ่านออก เขียนได้บ้าง  เขียนชื่อตัวเองเป็น  

          (4) เมื่อ วันที่ 15 สิงหาคม  2561  แม่ของน้องนิน ได้คลอดลูกคนที่ 7  ในครอบครัว  เกิดเมื่อวันแม่ 12 สิงหาคม 2561  ทางครอบครัวอยากได้ใบเกิดของลูก อพร้อมทั้งที่ต้องมีการแปลเอกสาร  ครูจึงได้ไปเยี่ยมแม่น้องนิน   เด็กที่เกิดใหม่ชื่อเด็กหญิงวีเนีย   ทาลัค  มีปัญหาเรื่องสุขภาพ คือตัวเหลือง แต่น้ำหนักของน้องดีมาก  3.7 กิโลกรัม  ตัวใหญ่กว่าเด็กคนอื่น  สิ่งที่ต้องทำในวันที่ไปพบ 


          - ครอบครัวนี้จะออกจากโรงพยาบาล  แต่ค่าใช้สูงมากถึง 14,882  บาท  แบ่งออกเป็นค่าใช้จ่ายของลูก 4,882  บาท  (แม่มีเงินเพียง 2,000 บาท )  ทางโรงพยาบาลอนุเคราะห์ให้เด็กอีก 2,882  บาท  สำหรับเด็กไม่มีอะไรที่ติดค้างกับโรงพยาบาล

          -กรณีของแม่ ค่าใช้ค่าทั้งหมด 10,000 บาท   แม่ต้องทำหนังสือยอมรับสภาพหนี้กับทางโรงพยาบาล  โดยมีการผ่อนเดือน 1,000  บาท  แม่รับสภาพหนี้ ครูเป็นพยาน  แต่จะโดนเรียกเก็บเงินเมื่อไร  หรือจะต้องจ่าย ค่อยว่ากันในอนาคต 

          -คุณหมอได้พยายามเรี่ยไร  ในการฝังเข็มให้กับแม่ซึ่งปัจจุบันอายุ 37 ปี แล้ว  ไม่ควรที่จะมีลูกอีก  การฝังเข็มครั้งนี้ไม่มีรายการฟรีนะค่ะ   อนุเคราะห์ค่าฝังเข็มอีก 3,575 บาท  แต่ถ้าครูเองก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันบาท


          -ประสานงานกับหน่วยงานองค์กร         ประเทศไทย  ในการแปลเอกสารให้กับครอบครัว เมื่อนำเอกสารไปขอรับใบรับรองการเกิด แล้วนำไปแจ้งที่สำนักงานเขต  เพื่อรับใบเกิดของเด็กหญิงตัวน้อย

          -เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2561  ไปรับใบรับรองการเกิด ครูโดนด่าพร้อมกับพ่อแม่ของเด็กแบบ  ไม่ต้องมองหน้าข้าราชการในสำนักงานเขต  คือการไม่ได้ทำหน้าที่ของตนเอง ดีกว่าว่า/บ่น คนอื่น   เหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้แม่ต่างด้าวทั้งหลายไม่กล้าไปรับใบรับรองการเกิดของลูก  เหตุผลที่สองเรื่องค่าใช้จ่ายที่ค้างกับโรงพยาบาล  จนไปถึงกับการไม่พาลูกไปฉีดวัคซีนตามที่กำหนด  ทำให้เด็กไม่ได้รับวัคซีนขั้นพื้นฐาน   ในวันนั้นทั้งครูและครอบครัวต้องวิ่งในให้วุ่น ทั้งเรื่องเอกสารและการถ่ายเอกสาร ครูจึงบอกพ่อกับแม่เด็กให้นั่งรอ   ครูประสานเองจะง่ายกว่า กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาสี่-ห้าชั่วโมง  แต่ละคนก็หิวจนจะหน้ามืดไปตามๆกัน

          มาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่พ่อแม่ต้องเซ็นต์เอกสาร  ดีที่พ่อแม่ทั้งคู่เขียนภาษากัมพูชาได้  เป็นแรงกระตุ้นอีกครั้งสำหรับและเด็กที่เป็นลูกครอบครัวนี้อีก 4 คน ที่ไม่เคยเรียนหนังสือกันเลย  แล้วจะทำอย่างไร  เป็นคำถามสำหรับครูที่ต้องหาคำตอบ  ทนไม่ได้ที่เด็กจะเขียนหนังสือไม่ได้เลย


          ครูต้องเริ่มต้นกับเด็กทั้งสี่คนที่เป็นครอบครัวนี้  แต่ยังมีเด็กอีกสามคนที่รุ่นเดียวกันที่ไม่เคยเรียนหนังสือเลยแต่ก็อยู่ในชุมชน  ครูจึงเริ่มต้นด้วย

          1.คุยกับครอบครัวในตอนบ่ายวันนั้นเลย  ครูจะจัดการเรียนการสอนให้ลูกครอบครัวนี้ทั้งสี่คน  อย่างน้อย ต้องอ่าน ออก เขียน ได้บ้าง  ครูรู้ว่าลูกของครอบครัวนี้เอาตัวรอดแต่เมื่อไรต้องต้องอ่าน ต้องเขียน ทำไม่ได้เลยไม่ใช่คำตอบของครู    ครอบครัวจึงบอกว่าครูสอนพวกเขาเลย   ครูจึงต้องไล่เรียงอายุของลูก สูงสุดคือ 16 ปี, 14 ปี, 13 ปี, 12 ปี, 7 ปี, 3 ปี และ ตัวเด็กน้อยที่เพิ่งเกิด  จำนวนเด็ก 4 คน อยู่เมืองไทย  ลูกอีก 2 คน กับกับยายที่กัมพูชา

          2.ค้น รื้อ หา เอกสารการสอนเด็กตั้งแต่เริ่มต้น  ตั้งแต่การคัดลายมือ  ถึงจะมีเด็กคนหนึ่งที่เรียนมาบ้าง  ก็ต้องจัดการใหม่  จนได้เอกสารมาระดับหนึ่งที่ต้องทำ คือการการทำเป็นรายบุคคล  เพราะมีความพร้อมไม่เหมือนกัน  มีเอกสารพอสมควรกับการเริ่มต้น

          3. เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2561  จึงจัดเป็นห้องเรียนเคลื่อนที่เรียกเด็กทั้งสี่คนมากรับเอกสาร  อธิบาย ว่าต้องทำอะไรบ้าง เริ่มต้นต้องแต่การคัด ก จนถึง ฮ   ระบายสี ห้ามออกจากเส้น   เขียน และคัดอีกครั้งหนึ่ง   ทุกอย่างต้องทำให้เสร็จ  แล้วสัปดาห์หน้ามาพบกัน


          เด็กๆ ตื่นเต้นกันมาก  รับสมุดรับหนังสือไป  แต่สิ่งที่ครูต้องหาคือหนังสือฝึกการอ่าน  ตั้งแต่เล่มที่หนึ่ง  จนถึงเล่มที่สี่

          หนังสือเขียนตามรอย และฝึกการเขียนชื่อตัวเองอีกครั้ง  งานคัดเป็น 100 รอบแน่นอน    เด็กขอเอกสาร ไปเผื่อด้วย  ครูจึงต้องบอกว่าขอเวลาหาเอกสารก่อนนะ 

          ถือว่าเป็นการจัดการเรียนการสอนอีกครึ่งที่ต้องการให้เด็กได้รับโอกาสทางการศึกษาเป็นรายบุคคลก่อน  ถ้าจะพัฒนาจนเข้าเรียนได้ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของเด็กเร่ร่อนต่างด้าว  แต่พื้นฐานต้องทำให้ได้ก่อน

          เรียนรู้ไปด้วยกันนะเด็ก เด็ก ของครูข้าง  7 ชีวิตด้วยกัน....