ขายความสามารถ หรือขายความน่าสงสาร (ตอนที่ สาม)
นางสาวทองพูล บัวศรี
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
บนถนนกลายเป็นที่ทำมาหากินทั้งกลุ่มที่ออกมาขอทาน ซึ่งกฎหมายไทยถือว่าเป็นผู้กระทำผิด มีโทษทั้งปรับและจำ ส่วนมากที่จับได้ในขณะนี้คือกลุ่มแม่และเด็กเร่ร่อนต่างด้าวมากกว่า เพราะเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์
มีอีกรูปแบบหนึ่งที่กึ่งเป็นผู้แสดงความสามารถ กับ กลุ่มขอทาน ทำให้เกิดความสงสารแล้วคนให้เงินจำนวนมาก ไม่ได้มีการตรวจสอบว่าเงินที่ได้มานั้นคนเหล่านั้นเอาเงินไปทำอะไร และหลายคนชอบพูดว่าฉันให้ทานเอาบุญมายุ่งยากอะไรกับฉัน คนบนถนนจึงเห็นกลุ่มเหล่านี้หลายรูปแบบด้วยกัน
กรณีแรกที่พบ บนถนนสุขุมวิท เป็นผู้หญิงที่ตาบอด มีรูปครอบครัวติดที่หน้ากล่องรับเงิน แต่มีตู้เพลงกับไมค์ที่เดินร้องเพลงไปด้วย และพูดถึงความยากลำบากของครอบครัวของนางสลับกับร้องเพลง นางจะเริ่มเล่าตั้งแต่ที่บ้านของนาง มีแม่ที่อายุกว่า87 ปี ซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่ไม่กล้าให้ออกจากบ้าน จึงจำเป็นให้แม่ของนางอยู่แต่ในบ้าน จ้างคนข้างบ้านดูแลเรื่องอาหาร แต่แม่ของนางก็อยากจะไปไหนบ้าง กลัวที่สุดคือคือการหายออกจากบ้าน จึงจำเป็นที่ต้องออกมาบนถนนเป็นค่าใช้จ่ายให้แม่
นางยังมีลูกอีกสองคนคนโตเรียนมัธยมแล้ว ส่วนคนเล็กเรียนชั้นประถมศึกษา เด็กทั้งสองเป็นเด็กดี ช่วยงานบ้านทุกอย่าง ช่วยเรื่องอาหารการกิน การซักเสื้อผ้า ทั้งสองคนมีค่าใช้จ่ายในการเรียน ค่ารถ ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียนอีกมากมายหลายอย่างที่ต้องใช้เงินทั้งนั้น เสียงที่พูดเคล้าด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย ความทุกข์เหล่านั้นนางเป็นผู้รับเพียงคนเดียวในครอบครัว
บางครั้งเพลงที่นางร้องออกมาก็แสดงถึงความหม่นหมองในชีวิตที่นางต้องเผชิญอยู่ แต่นางต้องมีชีวิตอยู่เพื่อคนเหล่านี้ได้มีโอกาสเรียนรู้โลกกว้างที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ตามพัฒนาตามวัยของแต่ละคนในความรับผิดชอบของนาง
คนที่เดินสวนกับนางทุกคนยินดีที่จะเอาเงินใส่ล่องให้นาง ทั้งเสียงเพลงและเรื่องที่นางได้บอกกล่าวที่สิ่งมันเกิดขึ้นกับครอบครัวของนาง ครูเองจะเจอนางบ่อยมากบริเวณถนนสุขุมวิท อนุสาวรีย์โดยเฉพาะถนนรางน้ำ ที่มีนักท่องเที่ยวเดินท่องราตรี บางครั้งก็เจอที่พื้นที่พัฒนพงศ์เป็นครั้งคราว ในแต่ละครั้งใช้เวลาอยู่บนถนนนานกว่าเจ็ด-แปดชั่วโมง ถึงจะกลับบ้าน นางบอกว่าไม่ได้ออกมาบนถนนทุกวัน อาทิตย์หนึ่งประมาณสามครั้ง ส่วนหนึ่งรับจ้างทำขนมอยู่ที่บ้าน ลูกชายลูกสาวนำไปขายที่โรงเรียนในตอนเช้า บางครั้งนางก็นำไปขายเอง แต่ลูกๆช่วยกันทำ
การทำขนมจะต้องลงทุนมาก กว่าจะได้ทุนคืนต้องใช้เวลา ถ้าไม่มีเงินจริงๆนางจะออกมาแสดงความสามารถ คือการร้องเพลงแลกเงิน เพื่อให้ครอบครัวอยู่ได้ด้วยเงินที่ผู้คนหยิบยืนให้
กรณีที่สอง นางจะนอนกราบที่เชิงตีนสะพาน ทางขึ้นรถไฟฟ้า นางเป็นหญิงที่ชอบแต่งตัวสวยงามเสมอเมื่อมีโอกาสได้เจอ พยายามที่จะเข้าไปคุยหาทางออกด้วยกัน เสียงของนางจะออกเสียงรำคาญอยู่เสมอว่า ถ้าไม่ให้เงิน ไม่ให้ขนมหรือสิ่งของอย่ามานั่งใกล้ ฉันจะนอนกราบกับพื้นแบบนี้มีคนเขาสงสารความบัดซบในชีวิตของนาง มีคนใจดีให้เงินเพื่อไปดูแลแม่กับลูกของนางเสมอ
คนอย่างครูก็ตื้ออยู่เสมอว่าชีวิตเป็นแบบนี้จำเป็นต้องให้หน่วยงานภาครัฐที่เขามีงบประมาณมาช่วยแบ่งเบาภาระที่เธอต้องพบเจอทั้งลูกชายที่เป็นดาวชินโดรม พร้อมมีเอกสารบัตรประชาชนของลูกยืนยัน สิ่งเหล่านี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ หน่วยงานของรัฐต้องการเอกสารเหล่านี้ไปทำเรื่องเบิก เงินงบประมาณมาช่วยเหลือ แต่เจ้าของปัญหาทำเหมือนไม่สนใจสิ่งที่ครูพยายามที่จะพูดคุยเลย เพียงแต่กลับตระโกนออกมาว่าไปให้ไกลจากที่เขานอน
ยิ่งบอกว่าแม่ท้องมีอาการป่วยจิตเวชด้วย ยิ่งเป็นเสียงกระตุ้นให้ครูอยากรู้อยากเห็น เป็นประการสำคัญ ว่าจริงตามที่เขียนไหม เพราะมีหลายหน่วยงานที่จะช่วยเหลือได้ ขอให้พาไปพบแม่ที่บ้าน หาทางออกด้วยกัน อย่างให้เด็กเกิดมาบนปัญหาที่เธอรับผิดชอบไม่ไหวหรอก ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อก็ได้ถ้าไม่สะดวกในวันนี้
เสียงตะโกนกลับมาอีกครั้งว่าอย่ามารบกวนเวลาทำมาหากิน เดี๋ยวตำรวจออกตรวจจะไม่ได้เงินเข้าใจไหม
สำหรับครูเองกับกรณีศึกษาแบบนี้ไม่ค่อยได้เจอบ่อย เพราะน้ำเสียงและท่าทางของครูที่ลงงานภาคสนาม ส่วนมากกรณีศึกษาไม่เคยรังเกียจแบบนี้เลย ด้วยการใช้ความจริงใจ การเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา กรณีศึกษาส่วนใหญ่ถึงจะใช้เวลาก็ ไม่มีใครไล่คนที่อยากจะช่วยเหลือแบบนี้ ส่วนมากที่เจอจะเป็นคนไทย
กรณีศึกษานี้ไม่ให้ความร่วมมือกับครูใดๆทั้งสิ้น จึงต้องใช้กระบวนการสืบเสาะหาว่าบ้านพักเขาอยู่บริเวณไหน วินมอเตอร์ไซด์บอกว่าพวกนี้ส่วนมากไปไวมาไว มานอนประมาณสักหนึ่งชั่วโมง แล้วรีบย้ายทีทันที่ มาถึงก็จะนอนราบกราบแบบนี้อย่างรวดเร็วมาก
กรณีที่สาม เป็นผู้หญิงที่จะนั่งที่ทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ในช่วงเช้าที่คนเดินทางกันอย่างเร่งด่วน เพราะทุกอย่างรีบเร่งกันมาก จึงไม่ค่อยเห็นการใส่สตางค์ในกล่องบริจาคแต่ในแต่ละวัน นางก็จะแต่งตัวไม่เหมือนกัน บางวันนางจะปิดตาข้างหนึ่ง มีทั้งอุปกรณ์การทำแผล บางวันนางก็จะมีตู้เพลงเปิดเพลงแล้วก็จะร้องคลอไปด้วย แต่กล่องบริจาคจะเป็นกล่องเดิม แต่วิธีการขายความน่าสงสารจะแตกต่างกันไป
ครูเมื่อได้มีโอกาสได้พบเจอจะเข้าไปคุยกับนางเสมอแบ่งปันสิ่งของที่หิ้วให้เป็นครั้งคราว คำตอบที่ได้มาก็ไม่เหมือนกันสักครั้ง เพราะทุกครั้งจะถามว่าไปหาโรงพยาบาลไหน ได้คำตอบที่หลากหลายทั้ง โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลนพรัตน์ จึงถามต่อถึงชื่อคนไข้ เพราะคนที่เป็นมะเร็งจะต้องดูแลในห้องที่ปลอดเชื้อ อยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด คำตอบที่ได้มาแทบไม่ได้ยินเลย คือ คนมันจะอดตายกันทั้งบ้านแล้วจะมามั่วนอนรอความตายได้อย่างไร
ดูสภาพภายนอกคือความน่าสงสาร เงินที่ได้ส่วนมากคือ ขายความน่าสงสาร จึงบอกว่าครูมาจากองค์กรพัฒนาเอกชนที่ต้องการช่วยเหลือ เขาชะงักไป บอกเพียงว่า ไม่ต้องการความช่วยเหลือ เอาแค่เจ้าหน้าที่เทศกิจอนุญาตให้นั่งตรงนี้ในช่วงเช้าได้ทุกวัน ฉันพอใจแล้ว ได้นั่งแบบนี้ก็บุญแล้วพอมีเงินเอาไปดูแลคนในครอบครัว
ครูหันไปมองเจ้าหน้าที่เทศกิจในแต่ละวันจะมานั่งที่เต็นท์ วันละสามคน ทุกคนหันมาแล้วพยักหน้า ว่าให้นั่งเอง มีเสียงหญิงสาวที่เดินมาตามหลังว่าตำรวจเหล่านี้เก็บเงินกับคนนี้วันละหนึ่งบาททุกวัน เป็นค่าที่นั่ง หญิงคนนั้นยังบอกอีกว่าตกลงคนที่จนหาเงินเลี้ยงคนเป็น เป็นอะไรที่บอกไม่ถูก โลกมันเปลี่ยนแปลง
ครูเลยย้อนถามว่า น้อง ตกลงหญิงคนที่นั่งเป็นคนป่วยจริงๆหรือ น้องบอกว่าพี่ก็คงเห็นเหมือนกัน หนูเดินทางมาสองปีแล้วก็เห็นอาทิตย์ละสี่วันที่มานั่งตรงนี้ ตอนเย็นจะมีอีกชุดหนึ่งนะ ทำเหมือนกันเลยแต่เป็นชาวต่างชาติหาเงินกลับประเทศลูกสามคน
สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงว่าทุกคนรู้กฎหมายพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 จึงมีรูปแบบที่เกิดขึ้นมาใหม่ ถ้าจะมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ของคนจนที่หารูปแบบในการให้คนได้แบ่งปันกัน