banner
พฤหัสบดี ที่ 26 เดือน กรกฏาคม พ.ศ.2561 แก้ไข admin

ผมก็อยากมีงานทำ...มาเลี้ยงตัวเองเหมือนกันครับ



 นางสาวทองพูล  บัวศรี
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

          งานของครูข้างถนน มีกลุ่มเป้าหมายที่อยู่บนถนน กว่าเจ็ดกลุ่มด้วยกันในการทำงาน  แต่ความกังวลของคนทำงานห่วงที่สุดคือ กลุ่มเด็กเร่ร่อนวัยรุ่น ช่วงอายุตั้งแต่ 9-25 ปี  และเด็กเร่ร่อนที่มีครอบครัวแล้วจำนวน 4 ครอบครัว ที่พาลูกกับเมียนอนตามข้างถนน 

          ทางกรมกิจการเด็กและเยาวชน  ได้มีการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาทักษะชีวิตเด็กเร่ร่อน เรื่อง "เส้นทางสู่อาชีพ"  ณ.สวนนงนุช  จังหวัดชลบุรี   เมื่อวันที่ 10-12 กรกฎาคม  2561  เด็กเร่ร่อนจำนวน 35 คน  ซึ่งแบ่งออกเป็นเด็กที่อาศัยอยู่บนถนน

-สถานีรถไฟหัวลำโพง วงเวียน 22  จำนวน 8 คน(ในนี้รวมครอบครัว 2 ครอบครัว มีลูกน้อยมาด้วยพร้อมพ่อ แต่ไม่ได้รวมกิจกรรม พ่อดูแลลูกคนเล็กให้แม่เข้าร่วมกิจกรรมตลอด

-พื้นที่สะพานพุทธ จำนวน 18 คน (มีครอบครัวจำนวน 2 ครอบครัว  ซึ่งเป็นเด็กเข้าค่ายกิจกรรมอย่างต่อเนื่องมาหลายครั้ง  แต่เด็กทุกคนก็เรียกร้องขอโอกาสที่จะเข้าค่ายเหมือนเด็กปกติทั่วไป)  มีอยู่สองรายที่เกินคำว่าเยาวชน  แต่ขอติดตามมาด้วย บอกว่ามาทุกครั้งมาเข้าค่ายได้แนวคิดดี ดี ไปทำตัวให้ดีขึ้น   เห็นความหมายในการใช้ชีวิตมากขึ้น  เหมือนมีแรงบันดาลใจให้อยากยุติการเร่ร่อน  แต่เมื่อกลับไปพื้นที่สู่โลกความเป็นจริง  แค่ให้เอาชีวิตรอดในแต่ละวันบนถนน มันก็ยากเหมือนกัน  แต่ขอโอกาสพวกผมได้เห็นอีกมุมหนึ่งขอสังคม  ได้นอนห้องแอร์ ได้กินอาหารที่หลากหลาย  ได้มีอาหารว่างกิน  ได้พบเพื่อนที่อื่นๆ   มันเป็นสิทธิของพวกผมไหมครับ....




-เด็กที่เข้ามายังบ้านเมอร์ซี แต่ยังต้องมีการปรับตัว เข้ามาอยู่ที่บ้านของมูลนิธิฯ ความตั้งใจของเด็ก เด็ก  คือการยุติการใช้ชีวิตบนถนน การคืนสู่ครอบครัวของบ้านอีกครั้ง  แต่เป็นบ้านของหน่วยงานก่อน  กลับมาเรียนรู้การใช้ชีวิตที่มีระเบียบวินัย การมีตารางชีวิตของคนปกติทั่วไป  และอยู่ในช่วงการปรับพื้นฐานการเรียน การศึกษานอกระบบ  อีกจำนวน 7 คน

งานนี้ทุกคนที่เข้าค่ายและคลุกคลีกับเด็กทุกคนบอกบอกว่า เด็กทุกคนแต่งตัวดีขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่ประจำค่ายแจกยาสระผม สบู่ ทุกอย่างตั้งแต่ลงรถให้อาบน้ำก่อนอันดับ  การตรงต่อเวลามีมาก  รวมกิจกรรมและสนใจในกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง  เด็กอยากเรียนรู้และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

สำหรับผู้เขียน กับพี่ป้อม พี่แขก ที่เป็นนักกิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน  ผู้เขียนเองทำกิจกรรมที่ร้องรำ ทำเพลงไม่เป็นเลย แค่ตบมือให้เข้าจังหวะก็ยากแล้ว   แต่สนใจการทำกระบวนกรเรียนรู้ และทำกระบวนกรกับคนทำงานเป็นส่วนใหญ่   โจทย์ครั้งนี้ให้ทำกับเด็กและเยาวชน  เป็นงานท้าทายกับเด็กและเยาวชนเร่ร่อนบนถนนด้วย  สิ่งผู้เขียนรู้ดีว่าเด็กและเยาวชนจะสนใจในสิ่งตัวเองสนใจเท่านั้น  แล้วจะมาให้เด็กกลุ่มนี้มาสะท้อนการใช้ชีวิต เรื่องอาชีพ  ต้องบอกว่าสามคนต้องนั่งปรึกษาหารืองานกันตลอดในการทำกิจกรรม  ถอดงานวิชาการเรื่องทักษะชีวิต  เรื่องการใช้ชีวิตมาเป็น มาเป็นกิจกรรม  ใช้คำถามนำกิจกรรม  เช่น คำถามว่า ทำไหมถนนมีอะไรดี พวกๆเด็กยังอยากอยู่  แล้วเด็กอยู่อย่างมีความสุข  และบางคนก็เลือกที่จะตายอยู่ที่บนถนนแห่งนี้




คุยกับพี่ป้อมกับพี่แขกตลอดเวลาว่า  ผู้เขียนเคยเห็นพี่ทั้งสองเล่นกิจกรรมรวมเงิน  พี่ทั้งสองเริ่มกิจกรรมรวมเงิน  ตั้งแต่ หญิงมีค่าหนึ่งบาท  ผู้ชายห้าสิบสตางค์   จัดกลุ่มรวมกันตามที่วิทยากรบอกจำนวน  เช่น จำนวนห้าบาท   เด็กหญิงบางคนก็รวมกัน 5 คน  กลุ่มเด็กผู้ชายก็รวมเฉพาะผู้ชายห้าคน   วิทยากรเปลี่ยนจำนวนไปเรื่อยๆ  จนกลายเป็นกลุ่มเดียวกัน   ทุกคนมีคุณค่ามูลค่าในกลุ่มขาดใครไปก็ไม่ครบตามจำนวนที่ถูกกำหนด

แล้วมีการสะท้อนกิจกรรมว่าคิดอย่างไร  มีเสียงเด็กน้อยคนหนึ่งเขาไม่เคยคิดเลยว่าเหรียญห้าสิบสตางค์ที่เขาขอคนอื่นเมื่อรวมกันหลายเหรียญมันก็เป็นจำนวน ห้าบาท สิบบาทได้   เขาเคยเหวี่ยงเหรียญเหล่าทิ้งแบบไม่ใยดี   แต่วันนี้เขาเห็นคุณค่า

กิจกรรมที่สอง  ค่าใช้จ่ายจริง ของเด็กในแต่ละวัน  โดยในแต่ละกลุ่มจะได้รับเงินไม่เท่ากัน  ตั้งแต่ 120-130 บาท เป็นเงินจริงที่แลกมา ใช้กลุ่มของเด็กและเยาวชนที่มีอยู่แล้วจำนวน ห้ากลุ่ม โดยให้เงินเหรียญ  เหรียญบาท เหรียญห้าบาท  เหรียญสิบบาท  จำนวนกลุ่มละประมาณ 120 บาท เท่านั้น  ให้แยกเป็นกองในนำเงินไปใช้จ่ายแต่ละวัน  สิ่งที่ออกมา




-ค่าอาหารที่หากินในแต่ละวัน  เพียงแค่ 20-25  บาท เท่านั้น  เพราะแต่ละคนบนถนน บอกว่าหาอาหารำกินได้  เพราะในถังขยะยังมีอาหารที่คนอื่นทิ้งอีกจำนวนมาก  และบางพื้นที่ก็บอกว่าเข้ามากินที่บ้านพัก

-ค่าเสื้อผ้าของลูก /ค่าอาบน้ำ กรณีที่ลูกไปโรงเรียน  สำหรับครอบครัวเร่ร่อน จำนวน 30 บาท ต่อวัน รวมถึงค่าเข้าห้องน้ำด้วย   ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่ามันเป็นค่าใช้จ่าย  แสดงว่าบนโลกแห่งนี้ไม่มีอะไรฟรีจริงๆ 

-ค่าเด็กไปโรงเรียน  จำนวน 20 บาท ต่อวัน เป็นทั้งค่าน้ำและค่าขนม  อาหารเช้าและอาหารกลางวันไปกินที่โรงเรียน

-ค่าซ่อม/ค่าน้ำมันมอเตอร์ไซด์ วันละ 10-15 บาท สำหรับเด็กเร่ร่อนที่มีคนเลี้ยง  แล้วคนเลี้ยงออกมอเตอร์ไซด์ให้มีจำนวน 3 คน  แต่ละคนยืนยันเสียงดังว่า รถต้องเติมน้ำมัน กับค่าซ่อม เช่นการเติมยาง  การเช็คอุปกรณ์  บางครั้งก็เสียมากกว่า  แต่มีเด็กบางคนในกลุ่มก็บอกว่ามีแค่เดือน สองเดือนเท่านั้น  เมื่อไม่มีเงินก็เอาไปจำนำแล้วก็หลุดไป  ค่าประดับตัวชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

-ค่าสบู่/ยาสีฟัน/ผงซักฟอก แยกเป็นรายวัน ประมาณวันละ 5 บาท เท่านั้น เฉพาะครอบครัวสี่ครอบครัวที่เข้าร่วม ยืนยันว่าต้องใช้




-ค่ายา(ยาบ้า/ยาแก้ไอ) /ค่ากาว  เป็นเงินจำนวนที่สูงมาก  คือทุกกลุ่มตั้งแต่ 30-50 บาท  เมื่อเห็นค่าใช้จ่ายแล้ว วิทยากรทั้งสามคนอึ้งคะ เด็กที่อยู่บนถนนใช้ชีวิตที่เสี่ยงมาก  เป็นจุดเริ่มต้นของการก่ออาชญากรรม

-ค่าเล่นเกม/เข้าร้านอินเตอร์เน็ต จำนวน 40-60 บาท ต่อคนต่อวัน  บางคนไม่มีก็ใช้ใช้วิธีการเข้าร้ายเกมกับเพื่อน  เพื่อนเล่นเกมผมเข้าไปนอนในห้องแอร์กับเพื่อน  หรือวิธีการก็ใช้การสลับกับเล่น  อีกคนก็นอนไป   เพราะบางทีไม่อยากนอนที่หัวลำโพงหรือสะพานพุทธ

-บางกลุ่มก็รวมเงินเป็นค่าเช่าห้องรายวันนอน  เก็บคนละ 10-20 บาท  ที่พักรายวัน วันละ 50 บาท นอนได้ประมาณ 3-5 คน  บางครั้งใช้วิธีการสลับกันนอน  ยิ่งเพื่อนที่ขายบริการทางเพศ จำเป็นต้องอาบน้ำแต่งตัวดี  ก็จะเช่าเป็นประจำ

เมื่อเห็นค่าใช้จ่าย กับการใช้ชีวิตของเด็กบนถนน  ทั้งครอบครัวและตัวเอง มีเสียงเด็กคนหนึ่งบอกว่าผมมันชอบอาศัยคนอื่น อาศัยเพื่อนทั้งนั้นเลย เพราะผมต้องการเพื่อนที่เข้าใจในการใช้ชีวิต  เพื่อนกลุ่มนี้เข้าใจมากกว่าพ่อแม่  พี่ น้อง เสียอีก  มีกินก็กินด้วยกัน อดก็อดด้วยกัน

 

กิจกรรมที่สาม เมื่อแต่ละวันมีค่าใช้จ่าย  แล้วรายได้มาจากไหน  ที่พอจะมีกิน  โดยให้เด็กและเยาวชนช่วยเขียนลงมาให้แต่ละเรื่องที่หาเงินได้

-เด็กและเยาวชนบอกว่า บังคับ /ขู่ เอาเงินจากพ่อแม่ที่ทำงานอยู่ในบริเวณที่เด็กอาศัยอยู่  บางครั้งก็ได้เงินมา ตั้งแต่ 30-50 บาท ต่อวัน  เมื่อได้เงินมาก็มารวมตัวกัน พากับท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆของกรุงเทพมหานคร  บางคนก็ข้ามถิ่นไปถึงสมุทรปราการ ปทุมธานี  นครปฐม  ตามที่มีเพื่อนเร่ร่อนอยู่ด้วย

-รับจ้างขายของร้านชำ รับจ้างส่งเอกสาร รับจ้างขนของจากรถไปตลาดปากคลอง รับจ้างขายพวงมาลัย รับจ้างเก็บค่าโดยสารเรือข้ามฝาก รับจ้างเช็คกระจก  รับจ้างขายพิชซ่า รับจ้างขายผัก รับจ้างขายเรียงเบอร์  รับจ้างขายสลากกินแบ่งรัฐบาล รับจ้างเชิดสิงโต  รับจ้างล้างจาน  รับจ้างขายขนม  รับจ้างขายกล้วยแขก รับจ้างขายดอกจำปี-จำปา รับจ้างเข็นรถในตลาด รับจ้างทำงานแทนคนกวาดขยะ รับจ้างขายยาดมที่สถานีรถไฟ รับจ้างขายผลไม้  เป็นต้น  ทุกอย่างไม่มีรายได้แน่นอน  รายได้ประมาณ 150-200  บาท ต่อวัน  แต่ไม่ได้มีงานทุกวัน  และขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพวกเด็กๆด้วย  อยากมีเงินถึงจะไปทำงาน



-รับจ้างติดคุก  มีคนมีจ้างหรือทางผู้รักษากระบวนการยุติธรรม ให้รับแทนตัวจริงเช่น เจ้าของร้านขายซีดี  เจ้าของร้านขายละเมิดลิขสิทธิ์  เจ้าของร้านเสื้อผ้า  เป็นต้น หรือทางหน่วยงานต้องการผลงานการจับกุม เด็กและเยาวชนก็รับจ้างก่อคดีในท้องที่  เดือนละประมาณ 5 วันบ้าง 10 วันบ้าง แล้วต้องการผลงานเสนอเจ้านาย   อย่างน้อยเด็กเหล่านี้มี อาหารกินสามมื้อ  เมื่อออกจากโรงพัก เด็กก็จะมีเงินติดตัวออกไปใช้ ครั้งละ 500-1,500  บาท   เด็กก็บอกว่าดีกว่าไปนอนที่ถนน  เด็กตอบอย่างชาชินกับสิ่งที่เกิดขึ้น

-งานเป็นเด็กเสริฟอาหาร  ทำอาหารให้ร้านอาหาร ทำอาหารให้โต๊ะจีน  ซึ่งมีงานประจำ  วันละ 300  บาท แต่งานจะเริ่มตั้ง สิบเอ็ดโมง จนถึงเที่ยงคืน หรือเก็บของทุกอย่างเสร็จ  ทุกอย่างก็ขึ้นอารมณ์กับเด็กเหมือนเดิม  สิ่งสำคัญได้กินอิ่มท้อง  แต่พวกผมมันขี้เกียจพอมีเงินก็อยากพัก อยากเข้าไปเล่นเกม ผ่อนคลาย ไปเที่ยวที่อื่นๆบ้าง   แต่ไปวันไหนก็ได้เงิน แต่เถ้าแก่เลือกคนที่แข็งแรง แต่งกายดี ไม่มีกลิ่นตัว  รักษาความสะอาดทั้งตัว

-งานที่เสี่ยงต่อชีวิตของพวกผม คือขโมยเงินคนในครอบครัว  ร้านขายทั่วไป  ปล้นผู้โดยสารตามสถานีรถไฟหัวลำโพง  ทุบตู้บริจาค ส่งยา  ส่งเด็ก   รู้ทั้งรู้ว่าผิดกฎหมาย บางครั้งมันหิว หรืออยากยา  ก็ต้องทำ  ส่วนมากเพื่อนจะด่า  แต่ถ้าจะเอาชีวิตให้รอดก็ต้องช่วยกัน  มีบางครั้งเป็นแม่เล้าขายเพื่อนให้แขก  เพื่อนก็ยินดีช่วยเพราะเห็นเพื่อนลงแดง(อยากยา เสี้ยมยาเต็มที่)




-งานที่ไม่ต้องลงทุน  คือการขอทาน เก็บขยะ  ขายแรงงานเป็นกรรมกรก่อสร้าง  แต่เด็กจะเลือกเป็นงานสุดท้าย เพราะมันเหนื่อย และต้องถูกสายตาที่รังเกียจของคนทั่วไป  มีบางครั้งก็มีคนบ่นว่าโตแล้วยังจะมาขออีก มีมือเท้า ดี ไม่อายเด็กที่เขาทำงานบ้างหรือไร  เสียงเหล่าดังแว่วมากระทบหูทุกวัน

งานที่ทำงานให้เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้มีรายได้มาเลี้ยงชีวิต ไม่ใช่อาชีพที่สุจริต แต่เด็กบอกว่า ความรู้ก็ไม่มี ทำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว

 

กิจกรรมที่สี่  ให้บอกเล่าว่าอยู่บนถนนกันมากี่ปีแล้ว  มีเหตุผลอะไรที่ยังอยากอยู่บนถนน  ความลำบากที่เด็กต้องพบเจอมีอะไรบ้าง   เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่อยู่กันตั้งแต่ 2-17 ปี  ถ้าอย่างนี้ไม่มีเด็กใหม่เข้ามาในพื้นเลยหรือ  เด็กคนหนึ่งตอบว่า ถ้ามีเด็กใหม่เข้ามาพื้นที่จะรีบโทรหาครูโดยด่วนที่สุด  ให้เอาน้องใหม่ออกจากพื้นที่โดยเร็ว ส่งเข้าบ้านหรือส่งกลับครอบครัว  ไม่ต้องการให้ใครมาใช้ชีวิตอย่างพวกผมหลอกครู  อยากเป็นคนดีเหมือนกัน แต่พวกผมมันใช้ชีวิตลึกไปแล้วครับ...   ความสุขที่อยู่บนถนน

-ได้ท่องเที่ยวตามที่ต่างๆที่ไม่เคยไป เช่นไปพัทยา ภูเก็ต  เชียงใหม่ บางแสน  ตามคนที่ซื้อบริการ  บางครั้งก็ได้นั่งรถยี่ห้อดังๆ  มีบางครั้งได้นั่งเครื่องบิน ด้วย  จะกลับเมื่อไรก็ได้  ไม่มีความกังวล สนุกสนานไปกับเพื่อนเรื่อยๆ  

-ไม่ต้องฟังเสียงด่าจากแม่   แม่ด่าทุกครั้งที่เห็นหน้า   เรื่องนี้เด็กและเยาวชนกำลังสื่อสารเรื่องช่องว่างระหว่างวัยอย่างชัดเจน

-มีเพื่อนที่รัก และเข้าใจ คุยกันรู้เรื่อง  รู้จักโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไพศาล  ทั้งดูหนังกาลางแปลง เที่ยวผับ เที่ยวบาร์  ไปนั่งเฝ้าผู้หญิงที่ตัวเองรัก หรือถูกหลอกก็มี  แสดงว่าพวกผมมีค่า คนถึงมาหลอกพวกผมได้

-พบมีความสุข  เพราะถนนคือบ้านของพวกผม




สิ่งที่เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตบนถนน

-เวลาป่วยไม่มีใครดูแล โดยเฉพาะที่ป่วยจากโรค HIV /วัณโรค  หรือติดเชื้อในกระแส เกิดอุบัติเหตุ  เห็นเพื่อนตายข้างถนน ทำให้อยากกลับบ้านหรือยุติการใช้ชีวิต

-เวลาที่หิวมากๆ  จะคิดถึงพ่อแม่พี่น้อง  แต่ก็ไม่อยากกลับไป เพราะไม่ชอบคำพูดและสายตา ที่เข้าบ้านเพราะไปไม่รอด  หิวมาก ก็ใช้การเก็บเศษอาหารจากถังขยะประทังชีวิตไปก่อน

เมื่อเด็กและเยาวชนเล่าถึงเรื่องนี้  ครูถามต่อว่า ส่งบ้านของหน่วยงานต่างๆที่มี   เสียงคนหนึ่งที่อายุมากสุด  ผมเข้ามาทุกบ้านแล้วครับ  ทุกบ้านมีกฎระเบียบหมด  ครูที่อยู่ในบ้านก็โมโหร้ายพอๆๆกับคนในครอบครัวผมเหมือนกัน   เป็นเสียงสะท้อนที่หาทางออกไปเจอ (มีรายละเอียดเฉพาะมากทั้งรัฐและเอกชนเยอะมาก)



 

กิจกรรมที่ห้า  ถ้าต้องการทำให้ไปถึงการมีอาชีพที่ทุกคนเขียนไว้ มีความฝันต้องทำอะไรบ้าง   อาชีพที่เขียนไว้  อยากเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง  อยากมีร้านอาหารของตัวเอง  อยากทำงานร้านสะดวกซื้อ  อยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ(จำนวนกว่า 15 คน  เพราะเด็กได้รับโอกาสไปเรียนฟุตบอลที่สนาม) อยากทำงานเป็นพนักงานเทศกิจ (มีเยาวชนคนหนึ่งที่กำลังสอบอยู่)    สิ่งที่ต้องทำให้ถึงความฝันคือ

-ทุกคนต้องกลับไปเรียน การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย ให้จบตามช่วงชั้นเรียนของเด็ก

-คนที่อยากเป็นนักฟุตบอลต้องทุ่มเทในการฝึกสอบให้มาก  และต้องไปฝึกที่สนามหรือเข้าสมัครตามสโมสรของ  ที่มูลนิธิส่งเสริมการพัฒนาบุคคล มี FC ขององค์กรเอง  เด็กที่อยากเป็นนักฟุตบอลต้องเข้าบ้านของเมอรซี่ เป็นอันดับแรก  ยุติการเร่ร่อน  วาสงอนาคตในการฝึกสอบอย่างหนักและซื่อตรง  ตรงต่อเวลา  ต้องไม่มียาเสพติดทุกชนิด

-สิ่งสุดท้ายคืออยากกระทำผิดเรื่องอะไรทั้งสิ้น  เพราะเด็กเร่ร่อนมีประวัติก่ออาชญากรรม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ไม่ได้ลบประวัติให้   หน่วยงานไหนขอไปก็เจอ   เรื่องนี้ตัดสิทธิ์ความฝันของพวกเราทุกคน   อย่าทำผิดทุกกรณี


จบกิจกรรมด้วยความรู้สึกของเด็กและเยาวชนที่ช่วยกันสะท้อนว่า  กิจกรรมครั้งก่อนมองแต่คนอื่นที่ต้องมาช่วยพวกผม  แต่กิจกรรมมาสำรวจตัวตน กลุ่มของพวกผมเอง  ถ้าอยากมีงานทำต้องทำอะไรบ้าง  เหมือนอนาคตมีจริง แค่ตัวเรารู้จักตัวเราเอง

ครูเองมีเด็ก เด็กที่จบการศึกษา และมีครอบครัวที่ดีหลายคน อย่างกรณีของ พี่อ๋า  เล่าประวัติและประสบการณ์การทำงานให้ฟัง  เด็กทุกคนนั่งกันเงียบ  เพราะมันคือเรื่องจริงของพี่ที่เคยเร่ร่อน  ตอนนี้มีครอบครัวมีลูก  เพราะทุกคนมีความฝัน มีอาชีพมีงานทำ  งานทุกงานขอให้ทำเถอะ ที่สุจริต ไม่เบียดเบียนคนอื่นเขา

เด็กขอว่าขอให้กิจกรรมอย่างนี้อื่น  จะได้เห็นคุณค่าขอตัวเอง และอยากเปลี่ยนแปลงตนเอง