banner
ศุกร์ ที่ 9 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2559 แก้ไข admin

บทเรียนราคาแพงตายอย่างสุนัข....ข้างถนน

 

นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

          ครูครับผมติดเอดส์ครับ...

แค่ประโยคแรกก็เรียกเอาคนทำงานอย่างสะดุ้งคะ เธอติดมาตั้งแต่เมื่อไร รักษาตัวหรือเปล่า  ผมไม่ทราบว่าติดตั้งแต่  รู้เมื่อผมเจ็บคอ กินข้าวไม่ได้ ไปตรวจที่โรงพยาบาล ผลเลือดออกมาเป็นบวกครับ  ชีวิตของผมช่างโชคร้ายครับ

ป๊อกเป็นเด็กเร่ร่อนรุ่น สี่ ที่พวกครูข้างถนนรู้จัก

ผมเคยเร่ร่อนตั้งแต่เล็ก  แล้วครูข้างถนนก็ช่วยผมให้เข้าไปอยู่ที่บ้านของหน่วยงานเอกชนแห่งหนึ่ง  จนผมจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

ความหยิ่งทระนงของตนเอง ไม่จำเป็นต้องเรียนสูงหรอก งานมีเยอะแยะไปหมด  งานอะไรผมก็ทำไม่อดตายแน่นอน

ผมจึงออกจากบ้านหลังนั้นมา  แล้วมาใช้ชีวิตแบบเด็กเร่ร่อนวัยรุ่น   ช่วงแรกก็ยังอายเพราะหยุดเร่ร่อนไปหลายปีแล้ว

ผมกับเพื่อน ห้าคน มีชายสี่คนหญิงหนึ่งเช่าบ้านที่บางกะปิอยู่กัน

ช่วงเดือนแรก ทุกคนต่างคนต่างก็หางานทำ  พอมีเงินก็มาช่วยกันจ่ายค่าห้องเช่า   แต่การใช้ชีวิตที่เคยอิสระ ก็เริ่มโหยหาอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้พวกผมโตแล้ว

พวกผมสี่คนก็เริ่มที่จะไม่ไปทำงานตามที่หามาได้ เพราะเหนื่อยทั้งวันได้ไม่เกิน 120บาท ไม่คุ้มกับความเหนื่อยของพวกผม  พวกผมเริ่มคิดที่กลับไปสู่วงจรเดิมอีกครั้ง เพราะมันได้เงินง่าย มันแว๊บเข้ามาในหัวทันที

เริ่มการเดินไปตามที่พวกผมเคยใช้ชีวิต ตั้งแต่หัวลำโพง สามย่าน พัฒน์พงศ์ อาร์ซีเอ รามคำแหง อโศก เดินไปเรื่อย เรื่อย  ก็จะมีทั้งชายหนุ่มไทยและต่างชาติ ที่เริ่มเข้ามา เรียกถามว่าไปด้วยกันไหม  พูดจาสุภาพ  ชีวิตของเขาในช่วงกลางวัน เล่นเกม อยู่ในร้านเกมตั้ง กินนอนในร้านเกม ประมาณสักสี่ถึงห้า โมงเย็น จะเข้าไปที่ห้องพัก อาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อที่ดี และเรียบร้อย ภาษาชาวบ้านคือ แต่งตัวหล่อไปล่อกระเทย  กับผู้หญิง  แล้วก็จะเดินทางบางคืนก็ไปอาร์ซีเอ  ก็จะเดินไปเรื่อย ทำมือแบบยกมือว่าเขาเป็นคนขายบริการทางเพศที่ไม่สังกัด  ลูกค้าของเพื่อนผมเป็นฝรั่ง ที่อยู่ในช่วง 40-60ปี เท่านั้น  และบางครั้งก็หิ้วผมไปต่างจังหวัดด้วย เช่น พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่  เพื่อนก็จะมีโอกาส ได้เดินทาง ได้ขึ้นเครื่องบิน หรือรถทัวร์ชั้นหนึ่งก็ครั้งนี้แหละ  ลูกค้าผมส่วนมากจะเรียกผมแค่ไปเป็นเพื่อน ไม่ชอบเรื่องการมีเพศสัมพันธ์   แต่ชอบให้เพื่อนชสำเร็จความใคร่ให้ดู  เพื่อนผมจะกลับมาพร้อมกับเงินก้อนโตที่ได้รับมาจากลูกค้า  นำเงินที่ได้มาใช้จ่ายด้วยการซื้อมือถือ เสื้อผ้าราคาแพงเป็นสื่อที่จะนำไปสู่การหาลูกค้ารายใหม่ต่อไป เงินที่ได้มาก็จะหมดไม่ถึงสามวัน แล้วเพื่อนในกลุ่มที่มีห้าคนนั้นก็ใช้เงินก้อนนี้แบบรวมกัน อาหารการกินส่วนมากเมื่อมีเงินก็จะกินแบบไม่ยั้งคิด อยากกินอะไรก็กิน เพื่อนผู้หญิงที่อยู่ด้วยกันจะเป็นดูเรื่องอาหารการกิน จนถึงเรื่องความสะอาดของห้องพัก เสื้อผ้าของพวกผมทุกคน เพื่อนผู้หญิงก็จะด่าผมว่า สกปรก แต่ก็จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน

เพื่อนคนที่สองเป็นอ้วนเตี้ย ผิวดำ แต่ใจเย็น  คนนี้จะเดินออกไปหางานทำส่วนมากร้านปั้มน้ำมัน จะไม่ชอบออกไปเที่ยวกลางคืน จะนอนอยู่ที่ห้องส่วนมากคนนี้ จะเป็นหลักในการเตือนสติกับเพื่อน เพื่อนในการใช้ชีวิต แต่ก็พลาดจนได้ว่า ไปเกี่ยวกับกับเฮโรอีน โดยการฉีด ซึ่งจะคู่กับกระแตที่เป็นเพื่อนผู้หญิง จนกลายเป็นคู่รักที่รักกันเพราะเมายา แล้วคนอื่นก็ทดลองกันอีกครั้ง เพื่อให้ชีวิตมีรสชาติ บางวันก็เมาทั้งกลางวันและกลางคืน เงินที่หามาได้ทั้งหมดก็หมดกับค่ายา เข็มเดียวกัน ใช้กันทุกคน ในห้อง ห้องเช่าที่เคยสะอาด เริ่มไม่มีใครสนใจสภาพห้อง เสื้อผ้าส่งกลิ่นเหม็น ต่างคน ต่างก็หมกเอาไว้ ไม่มีการซัก  งานที่ไม่เคยขาด ก็หยุดเป็นประจำ สุดท้ายเจ้าของปั้มน้ำมันก็ให้ออก เพราะเริ่มระแคงระคายเรื่องการซื้อ-ขาย ยาเสพติดในที่ทำงาน   ร่างกายที่เคยแข็งแรงก็เริ่มผอมโซ การพูดจาก็ไม่รู้เรื่อง  เวลามองก็ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เพื่อนผมคนนี้เหมือนผีตายซาก

เพื่อนคนที่สามของผม ตัวสูงอายุ 18 ปี ผ่านสถานพินิจเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร ศาลสั่งให้คุมประพฤติ  เมื่อพ่อกับแม่ไปรับตัวกลับมา ผมไม่อยากอยู่บ้านแต่ผมไม่ใช่เด็กเร่ร่อนผมมีบ้านมีครอบครัว แต่อยากมาอยู่กับเพื่อนเพราะมันสนุกดี ไม่ต้องคิดเยอะ ใช้ชีวิตแบบชิว ชิว ไปเรื่อย เรื่อย แต่เมื่อโกรธใคร จะโมโหร้ายอย่างมาก และเมื่อไม่พอใจใครในบ้านเช่าก็จะออกมานอนที่หน้าห้องเช่า หาเรื่องกับทุกคนไปหมด ก็จะบ่นแบบพร่ำเพ้อว่า “ใคร ใคร ก็ไม่รัก”  อาการร้องไห้ก็จะดังลั่น จนเพื่อน เพื่อน เริ่มรำคาญกันไปหมด  หมดความอดทนของเจ้าสาม

สำหรับตัวผมก็กลับมาหางานทำอีกครั้ง แต่ชีวิตผมเคยอยู่กับบนถนนในช่วงเล็ก  ผมก็กลับหาเพื่อนอีกครั้ง  ครั้งนี้ผมมีความรู้จบถึง ป.6 แค่การเอาชีวิตให้รอดก็เรื่องใหญ่ เพื่อนที่เคยเร่ร่อนกันตั้งแต่เด็ก ทุกคนเตือนว่าควรไปหางานทำให้เป็นเรื่องเป็นราว  แล้วชีวิตของเพื่อนก็ผ่านคุกเด็ก ผ่านมาอยู่คุกผู้ใหญ่  ผมกับมาลิ้มลองความเป็นอิสระอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ความคิดของผม ผมว่าผมแน่ในการอยู่บนถนน แต่พอใช้ชีวิตจริง การห่างถนนของผม เจ็ดถึงแปดปี ย้อนกลับมาครั้งนี้อยู่บนถนนกับเขาไม่ได้  ผมเลยต้องหันมาขายบริการทางเพศ ริมถนน อย่างเปิดเผย


 ครั้งแรกไม่กล้าแต่ผมจะอดตายเอา ขาย ก็ขาย ผมไปยืนอยู่ที่ริมถนนซอยนานา เพราะมีชาวต่างชาติจำนวนมากที่เขามาเที่ยว ครั้งแรกผมก็ไปกับแขกชาวต่างชาติที่เป็นชาวผิวสี  ดูแลผมเป็นอย่างดี แต่ผมก็ทำให้เขาติดใจในเรื่องเพศสัมพันธ์ ที่เขาลูกค้าอยากลิ้มลอง  จนเขาก็สมใจในเพศสัมผัส แต่ก็อยู่ด้วยกันอาทิตย์เดียว ลูกค้าก็กลับประเทศ  ผมก็กลับมาที่บ้านเช่ามาอยู่กับเพื่อน แล้ว  แต่มีเงินก้อนหนึ่งมาด้วย  เงินหมดกับยาเสพติด  พวกเราเสพกันทั้งวันทั้งคืน เล่นยากันอย่างเมามัน  เรื่องเพศก็เข้ามาความอยากใคร่ ความกระหายเซ็ก

 เจ้ากระแต ซึ่งเป็นเมียของเพื่อน ก็เลยกลายเป็นเมียของทุกคน ในบ้านเช่า มั่วกันไปกันมา  เรื่องการใส่ถุงยางอยากพูดเลย ไม่ใช่กันหลอก  ซึ่งทุกคนก็รู้นะว่า มีเพศสัมพันธ์ต้องใส่ถุงยาง แต่เวลาอยากขึ้นมา ใส่ไม่ทันหรอก   พวกเราทุกคนจึงไม่ใส่กันเลย

พอเงินหมดก็จะแบ่งหน้าที่ว่าใครจะออกไปหาลูกค้า การมั่วกันแบบนี้สภาพร่างกายของแต่ละคนก็เริ่มผอม ไม่มีน้ำมีนวล ไม่หล่อเหลาแบบเดิมแล้ว กลิ่นตัวจะมีกลิ่นของยาออกมาด้วย  เมื่ออกไปหาลูกค้าก็เหมือนผีตายซาก   ให้ฟรีคนยังคิดดูก่อนเลย

ใช้ชีวิตอย่างนี้เกือบสองปี   จนสภาพร่างกายผอมมาก ทั้งเล่นยา  อาหารการกินไม่ดูแล  เสื้อผ้าดี ดี ที่มีอยู่ก็เอาไปขายกันหมดเพื่อเอาเงินมาพยุงให้เพื่อนทุกคนอยู่ได้  แต่เพื่อนทั้งห้าคน สภาพก็เหมือนกันหมด

เพื่อนคนที่หนึ่งกับคนที่สอง  เริ่มไปมีการหยิบฉวยของของคนอื่น  สุดท้ายก็เข้าไปอยู่ในเรือนจำกลางกรุงเทพ พร้อมกับบำบัดยาเสพติด  อย่างน้อยก็ห้าปี

เพื่อนคนที่สามก็กลับไปอยู่กับครอบครัว  ครอบครัวของเพื่อนมาบังคับสงเคราะห์ ส่งไปอยู่ที่สิงค์โปร์  ไปเข้าค่ายแล้วบังคับให้เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น  ฐานครอบครัวที่มั่นคง 

สำหรับกระแต ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มก็เหลืออยู่กับผมสองคน  สุดท้ายก็เป็นผัวเมียที่ต้องดูแลกันไป  กระแตเองก็เริ่มท้อง เมื่อเพื่อนทุกคนแยกย้ายไปตามทางของแต่ละคน

จนกระแตท้องได้ห้าเดือนก็พากับไปฝากท้องมาสิทธิ 30 บาท ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่รับสิทธิประกันสังคม  ทางพยาบาลตรวจเลือดก็มา บอกว่า ทั้งแม่และลูกติดเชื้อเอดส์   ผมยื่นด้วยสภาพตัวชาไปทั้งตัว  ตัวแข็งทื่อ  ช็อกครับช็อก

หันมาบอกตัวเองว่า “กู ก็ต้องติดด้วยซิโว้ย” แล้วจะเอาอย่างไรกับชีวิต

กระแต เมียผม ได้แต่นั่งร้องไห้  ร้องไห้ กันสองคน พร้อมลูกในท้อง  ผมทำอะไรไม่ถูก  แล้วจะหันหน้าไปหาใคร  แล้วจะเริ่มกันอย่างไรต่อ  เพราะมีเชื้ออยู่ในร่างกาย  ผมกลายเป็นบุคคลที่คนอื่นเขารังเกียจ  แค่เป็นเด็กเร่ร่อนที่ไม่มีที่ซุกหัวนอนก็ถูกสายตาของคนทั่วไปว่า ไอ้พวกไม่รักตัวเอง ไม่เอาอะไรสักอย่าง เร่ไปร่อนมาไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หาที่ไปที่มาไม่ได้ ไม่มีหัวนอนปลายตีน  แต่ละคำ แต่ละสายตา มันตอกย้ำผมว่า พวกผมต่ำต้อยเกินไปกว่าจะคนด้วยซ้ำ   แต่กลับมาติดยาเอดส์  ที่ใคร ใคร ก็ไม่ต้องการอยู่ด้วย

สุดท้ายผมก็พากระแตไปหาแม่ของกระแต ที่เป็นแม่ค้าที่ตลาดพระโขนง

ว่ากระแตท้อง  บอกเพียงว่า กระแต  ต้องการคนดูแล  แม่ของกระแตมองด้วยสายตาที่ว่างเปล่า  บอกเพียงว่าอย่างนั้นก็กลับมาอยู่บ้านเรา  แต่แม่หันมาที่ผม แต่ผมต้องไปดูแลตัวเองนะ  เพราะบ้านมันเล็กมีแต่ผู้หญิง

ผมได้แต่พยักหน้ารับในชะตากรรมของตัวเองเท่านั้น

ในใจเด็กที่อยู่ในท้องของกระแตคือลูกผมนะ   แล้วติดเชื้อเอดส์ไหม

มารู้ว่าแม่ได้พากระแตกับลูกผมเข้าโครงการ หยุดยั้งโรคเอดส์แพร่สู่ลูก  กระแตต้องไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่บางปู  กินยาดแลสุขภาพทุกวัน  แม่เองได้รับการดูแลด้านจิตใจ ฟื้นฟู พร้อมแผนบำบัดยาเสพติด และดูแลเด็กในท้องด้วย

กระแตคลอดลูกออกมา  ไม่ติดโรคเอดส์  เด็กก็รอด  ดีใจกันทั้งบ้าน

แต่กระแตเองก็ป่วยหนักมาก ติดเชื้อหลายอย่าง สุดท้ายกระแตก็ไปตายที่สถานสงเคราะห์แห่งหนึ่งที่จังหวัดระยอง

สำหรับตัวผม หลังจากต้องอยู่คนเดียว ผมก็ตัดสินมาใช้ชีวิตกับเด็กเร่ร่อนที่แยกลาดพร้าว  หลายคนที่มีทั้งคนไร้บ้าน คนไม่อยากอยู่บ้าน ทั้งหญิงและชายกว่า 10 คน 

กลับมาเก็บขยะขาย เพราะร่างกายของผมขายบริการทางเพศ  แต่ผมก็ถูกพวกคนที่อยู่ด้วยกันมีเพศสัมพันธ์ด้วย  จนผมไม่สบายหนักมาก




เขาส่งตัวผมไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน เพราะมีชื่อในทะเบียนบ้านของแม่ของกระแต  มีแต่ครูข้างถนน ชื่อครูก้อยไปเยี่ยมผมเท่านั้น ช่วยเหลือผมในยามเจ็บป่วย

ผลเลือดผมเป็นบวก   ผมรู้ตัวว่าเป็นเอดส์มานานแล้ว จนเมียผมตายไปแล้ว  ผมไม่ได้ตกใจ  แต่กลุ่มคนที่อยู่ด้วยกันเฉย เฉย มันเป็นเรื่องธรรมดา  พวกเราก็ติดกันทุกคน

สำหรับหนักมากครั้งนี้ รักษาตัวอยู่ได้ประมาณแปดวัน อาการดีขึ้น เขาให้ออกจากโรงพยาบาล แต่อาการเหนื่อย หอบ ไอ ไม่มีแรง  มันยังอยู่  แต่หมอยืนยันว่าดีขึ้นแล้ว ต้องเอาเตียงไว้ให้คนป่วยคนอื่น  ผมต้องออกแล้วจะไปอยู่ไหน

ผมกลับมาหาครูที่ศูนย์สร้างโอกาส ที่จตุจักร  มานั่งเล่าให้ฟังถึงชีวิตจะเอาอย่างไร  ที่พักก็ไม่มี ชีวิตของผม  ผมทำลายชีวิตของผมเอ็งด้วยมือของผมเอง   ชีวิตมันดีขึ้นเรียนหนังสือแล้ว แต่ทำไมกลับเป็นอย่างนี้ เพราะผมประมาทในการใช้ชีวิต  ดื้อกับทุกคนใช่ไหม  ผมถือดีว่าผมแน่ใช่ไหม

ครูก้อย ก็ประสานหลายแห่งด้วยกันที่จะเอาผมไปพักอยู่   แต่หลายแห่งต้องปิดตัว แล้วบอกเพียงว่าให้อยู่กับญาติพี่น้อง 

แต่เด็กเร่ร่อนมันไม่มีญาติ หาญาติไม่เจอ  มีแต่แม่ยาย แม่ยายก็บอกเพียงว่า ฉันดูแลหลานก็หนักเกินกำลังของเขาแล้ว

ผมก็ต้องนอนมันที่หน้าสวนจตุจักร  อยู่ประมาณ เกือบสองเดือน  ยาที่โรงพยาบาลให้มากินบ้างไม่กินบ้าง ทุกอย่างมันเริ่มวิกฤติแล้ว

จนครูก้อยหาที่พักได้  หารถที่จะไปส่งได้  แต่ตัวผมยังไม่อยากไป ก็หายไปจากจตุจักรสักสามวันแล้วย้อนกลับมาใหม่   แต่ครั้งนี้เดินไม่ไหว

สถานที่ ที่จะส่งตัวผมไป  เขาต้องการเงินประกัน เจ็ดพันบาท เป็นเงินค่าใช้จ่าย ค่าทำศพเวลาที่ผมตาย  บาทเดียวผมก็ไม่มี  แค่จะตายผมยังไม่มีเงิน ผมคงได้ตายเหมือนหมาข้างถนนแน่  เหมือนคนไร้บ้านอนตายข้างถนน ผมเห็นเป็นประจำ แล้วปอเต๊กตึง ก็มาจัดการเอง

จนครูก้อยหาเงินได้ จากมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ครูก็ส่งผมไปอยู่ ด้วยสภาพที่ผมอ่อนแรง  จนเดินไม่ไหว  ตอนนี้คิดอย่างเดียวจะตายก็ตาย  ชีวิตของเด็กเร่ร่อน อยู่กับถนนมายี่สิบกว่า จะตายข้างถนนก็สุดแต่เวรแต่กรรม

ผมผิดเองกับการใช้ชีวิต โอกาสผมมันมีเยอะมาก  แต่ผมเลือกเดินทางที่ผิดเอง โทษใครไม่ได้หรอก  ผมเลือกชีวิตผมเอง  แต่ชีวิตของผมมันคือบทเรียนราคาแพงที่ไม่ต้องการให้เด็กคนไหนเดินอย่างผม 

ผมไปอยู่สถานที่สวยงาม  มีบ้าน มีสวน มีบรรยายด้วยเสียงสวดมนต์ แต่ของพระเจ้า  มันทำให้ผมสงบลงได้  แม้แต่ความเจ็บปวด การไม่มีแรงเลย แม้จะอ้างปากรับน้ำที่ทางพยาบาลเขาหยอดให้  ยังอ้าปากยังไม่ไหวเลย  มือทั้งสองข้างตกอยู่ข้างตัวไม่มีเรี่ยวแรงแต่แต่ขยับ  ขาทั้งสองข้างนั้น สงบมากตั้งแต่เจ้าหน้าที่ยกขึ้นรถ ศูนย์ประชาบดี 1300 มาแล้ว


ในใจผม ผมพร้อมแล้ว   ถึงครูก้อยจะปลอบผมว่า มาอยู่สถานที่นี้แล้ว แล้วจะดีขึ้น  แต่ครั้งนี้ผมไม่สู้  ผมสู้ไม่ไหวแล้วจริง  ผมขอขอบคุณทุกคนที่เลือกให้ผมตายในก้อมกอดของพระเจ้า

หลังจากครูก้อยและทีมงานหลายหน่วยงานที่ช่วยกัน เพื่อให้เด็กเร่ร่อนหนึ่งคนที่พบวีละกรรมมากมาย สุดท้ายก็ไม่พ้นความตาย

 ครูก้อยโทรมาบอกว่า ครูคะ เคสที่ครูสงเคราะห์ไปนั้นเขาเสียชีวิต จากพวกเราไปแล้วนะ   ครูได้บอกกับครูก้อยว่า  นี่แหละคือรูปแบบที่จะช่วยให้ตายอย่างมีศักดิ์ศรี 

เราทำหน้าที่ของครูได้เต็มรูปแบบแล้ว  ตั้งแต่เด็กเร่ร่อน จนเขาตาย

เด็กเร่ร่อนเหล่านี้จะมีมาให้ครูได้ทำงานต่ออย่างไม่มีวันหมดสิ้น เพราะยังมีคนที่ไม่มีบ้าน ไม่มีใครต้องการ ถนนจึงเป็นสถานที่เดียวที่รองรับชีวิตพวกเขา