banner
จันทร์ ที่ 12 เดือน มีนาคม พ.ศ.2561 แก้ไข admin

เรื่องจริงในวันสตรีสากล....... กับหญิงชาวกัมพูชา

 
 
 นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

             ด้วยเมื่อวานก่อนเที่ยงได้ลงไปเยี่ยมแม่กับเด็กที่ใต้ทางด่วนสุขุมวิท ตอนนี้มีผู้คนมาอาศัยอยู่ด้วยกันจำนวน  5 ครอบครัว  เป็นครอบครัวคนไทย 2 ครอบครัว  ครอบครัวต่างด้าว 3 ครอบครัว และเด็กเร่ร่อนวัยรุ่นอีก 9 คน เป็นเด็กชาย 6 คน เด็กผู้หญิงอีก 3 คน 

          สำหรับครอบครัวคนต่างด้าว 1 ครอบครัวมีลูกสามคน  แม่ของเด็กเปลี่ยนสามีมาเรื่อย เสียงหนึ่งตระโกนบอกว่าครู  ครอบครัวนี้เขาใช้สามีเปลื้อง   แต่ครูก็บอกว่าทุกคนต้องการความมั่นคงทางใจ อยากต้องการให้ใครสักคนเข้ามาดูแล  ผู้หญิงทุกคนต้องการคนคุ้มครอง 

          เคสนี้ครูไม่ได้รู้จักกับแม่เด็กโดยตรง  รู้จักโดยผ่านการร้องเรียนว่า ครูค่ะช่วยลูกฉันด้วย ลูกฉันถูกจับไปแล้วไม่รู้ว่าถูกส่งไปที่ไหน  ต้องตามหากันสามสัปดาห์จึงลูกว่าลูกอยู่ที่บ้านพักเด็กและครอบครัว  เมื่อครูไปพบ เด็กเพียงอายุ 12 ปี แต่คำพูดคำจาเกินอายุ  ใช้คำว่า “แก่เกินอายุจริง”  เพราะเด็กใช้ชีวิตอยู่ในร้านเกินวันละ 12 ชั่วโมง  เร่ร่อนออกมาเองโดยไม่ต้องคอยแม่   วันนี้แม่เองก็สารภาพหลายเรื่องเพราะต้องพูดความจริงให้ครูรู้ไม่อย่างนั้นจะเอาอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่ 

          แม่บอกว่าถ้าฉันตายไปยกลูกสามคนให้ครูดูแลนะ   ครูเสียงเขียวใส่ทันที่  ครูเองก็ดูแลไม่ได้หรอก  เป็นเด็กต่างด้าว เอกสารอะไรก็ไม่มีสักอย่าง  อะไรกันจะตายกันหมดเลยหรือ  แล้วโยนภาระมาให้ครู    แม่เด็กก็เลยบอกว่าฉันกลัวสุดคือการเป็นโรคเอดส์  กลัวค่ะ  กลัวตรวจเลือด  จึงบอกว่าอย่าคิดไกลขนาดนั้น  ให้ผลออกมาก่อน 

          สำหรับครูเองก็กลัวอยู่ไม่น้อย แต่แสดงออกไม่ได้  ต้องปิดห้องคุยกับคุณหมอที่รักษาโรคผิวหนัง  วันนี้ตรวจเลือดไปทั้งหมดเก้าเรื่องด้วยกัน  ค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย  แต่จ่ายดีกว่า ให้มันรู้แล้วรู้รอดกัน  จะเอาอย่างไรกับชีวิตของแม่กับลูกอีกสามคนจะได้วางแผนถูก ....มันอย่างมันค้างใจคนทำงานอย่างครู   คิดมาสามเดือน  เลื่อนเคสตลอดเพราะคำว่า “โรคเอดส์” 

  

          เมื่อคืนคิดหนัก นอนอย่างหลับไม่สนิท เพราะไปพบอาการของแม่แล้ว เช้านี้เลยต้องทิ้งงานอื่นหมด  เอาแม่ไปตรวจก่อน  นัดกันที่โรงพยาบาลราชวิถี  เพราะเป็นโรคพยาบาลที่รักษาคนต่างด้าว  เมื่อไปถึงดังคาดคนต่างด้าวเยอะมาก  ทั้งมารักษาตามสิทธิที่แต่ละคนซื้อ ทุกคนมีเอกสารพร้อม มีนายจ้างมาด้วย  และบางกลุ่มก็มาตรวจสุขภาพ 

          ครูจึงต้องศึกษากระบวนการเริ่มขั้นตอนทั้งหมดเพราะทุกครั้งไปโรงพยาบาลสำหรับแม่และเด็กเร่ร่อนต่างด้าวจะได้มีการประสานงานกันไว้ก่อน  แต่ครั้งนี้ต้องพาเคสมาพบ และดำเนินการเอง  จะผ่านด่านแรกหรือเปล่า คือผ่านจุดคัดกรอง 

          ครูจึงมากันที่ป้านเลย 10  เป็นจุดคัดกรองคนต่างด้าว  ซึ่งวันนี้คนต่างด้าวเยอะมาก  พยาบาลคัดกรองมีเพียงคนเดียว  มีเจ้าหน้าที่แนะนำก็เพียงคนเดียว  จึงบอกว่าจะมาขอตรวจ ขอทำบัตรคนไข้ใหม่ เป็นคนต่างด้าว (ไม่มีเอกสารอะไรเลย)  งานเข้าทันที  เจ้าหน้าที่เริ่มในโอวาท(คำอธิบาย)   คุณเป็นใคร ทำไมต้องเอาคนผิดกฎหมายมารักษาด้วย  โรงพยาบาลนี้ไม่รับ  แต่ต้องแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง   ครูใจเย็นมากหยิบเอกสารมากกรอกชื่อ...แม่เด็กทันที .....ไม่รอเจ้าหน้าที่   พอเจ้าหน้าหมดภาระคำอธิบายกับคนอื่น   ครูจึงไปขออธิบายว่า  แม่ของเด็กป่วยหนักมาก  ครูเป็นครูที่เดินลงไปพบถนนพบคนเหล่านี้ จะให้ครูเฉยเมยได้อย่างไร  จะให้เขาตายอย่าง “หมาข้างถนน”   ครูทำไม่ได้หรอก   ต้องการตรวจให้ชัดเจน ครูจะได้หาทางออกกันให้ได้  ครูตรึกตรองกับเคสนี้มากกว่าสามเดือนแล้ว  กลัวไปทุกเรื่อง  หาทางออก  ประสานงานหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง  คิดเยอะมาก...เจ้าหน้าที่มองหน้าครู   แล้วบอกว่าไปคุยกับพยาบาลเองเอง   ช่วยกรองชื่อครู  ที่อยู่ ด้วย  มีอะไรจะได้ประสานงานกับครู

          ครูเดินเข้าห้องคัดกรอง ส่งเอกสารให้คุณพยาบาล  นางพยาบาลมองหน้าครู  มองหน้าเคสกับลูก  ไม่มีเอกสารอะไรเลย ให้กลับไปเถอะ  จึงบอกว่าทั้งครูและเคสมากันตั้งแต่หกโมงเช้า  เพื่อมาขอตรวจยินดีจ่ายค่าตรวจเองทุกอย่าง   สุดท้ายของไล่เคสออกไปนอกห้องคัดกรอง   ครูต้องผ่านด่านนี้ให้ได้  เริ่มอธิบายว่า  ถ้าไม่ตรวจให้รู้เรื่องว่าเป็นอะไร ครูเองก็เป็นปัญหา  ประสานงานทุกหน่วยงาน ทุกองค์กรกับเรื่องนี้   และไม่ต้องการให้สิ่งที่อยู่ในตัวเคสแพร่กระจายไปยังคนอื่นๆ  ครูเองก็ไม่รู้   แต่สำหรับลูกของเขา ครูไปตรวจมาแล้วที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ  ผลเลือดออกมาดีไม่ติดเชื้อ  แต่ต้องรักษาเรื่องปอดและสำไล้   เพราะอาหารการกินการใช้ชีวิตคลุกฝุ่นอยู่บนถนน  โอกาสของอาการท้องเสียสำหรับเด็กเป็นอย่างต่อเนื่อง

 

          พยาบาลมองหน้าของครูที่สายตามีเมตตาอย่างสูง  แต่ก็บอกว่าผิดกฎหมายนะครู ช่วยคนที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย  ฉันจะส่งต่อไปทำบัตรคนไข้  ครูไปอธิบายกับคุณหมอ   แล้ววันนี่จะตรวจอะไรก่อน-หลัง  ของสองเรื่องตรวจผิวหนังที่แม่ของเด็กคันทั้งตัว  และมีตัวพยาธิออกมาตามผิวหนังเมื่ออากาศร้อนจัด  และท้องเสีย   พยาบาลจึงส่งต่อไปยังโต๊ะทำบัตรใหม่    พยาบาลบอกว่าครูไปนั่งให้เคสมาทำบัตรเอง

          จึงไปเรียกเคสกับลูกกลับเข้ามาพร้อมยื่นเอกสารสองใบที่ได้มาจากคุณพยาบาล  ให้เข้าไปที่โต๊ะทำบัตร   แม่เองก็ยืนนิ่ง จนสุดท้ายครูต้องบอกให้เข้านั่งต่อหน้าเจ้าหน้าที่ทำบัตร  เคสก็บอกว่าครูยืนอยู่ตรงนี้  เจ้าหน้าที่เขาถามอะไรฉันตอบไม่ไดหรอก   ก็จำเป็นต้องยืนอยู่กับเคส อธิบายเจ้าหน้าเพราะทุกคนเรียกหาเอกสาร  และเคสก็เริ่มเปิดแผลเปิดตุ่มให้เจ้าหน้าที่ดูแล้ว  ไปอย่างนั้นก็ซักเหมือนเดิม  จนได้เอกสารที่ต้องกันไปตรวจที่ ชั้น 9 อาคารเฉลิมพระเกียรติ (คลินิกผิวหนัง)   ถ้าปล่อยให้ไปเองรับรองไปไม่ถูก  ขนาดมีครูไปด้วยยังต้องเดินถามพยาบาลและเจ้าหน้าที่   และอีกเรื่องหนึ่งต้องมาคลินิกนานาชาติดูเรื่องท้องเสียที่ต่อเนื่องกว่าสี่เดือน   ทั้งสองเรื่องต้องใช้เวลามาก  ตอนแรกคิดว่าเสร็จช่วงเช้าจะพาเด็กไปฉีดวัคซีน  แต่คงไม่ทันแน่นอน

          พอขึ้นถึงชั้น 9 เห็นคนหาหมอมากมายจริง  จึงไปยื่นเอกสาร เริ่มจากวัดความดัน ช่างน้ำหนัก เคสกลัวไปหมดให้ทำเองไม่ได้ ครูกำกับการทุกขั้นตอน  และนั่งรอนาน  งานนี้ครูนั่งหลับ  เพราะช่วงนี้นอนดึกเกือบทุกวันมีงานที่ต้องเคลียร์หลายเรื่อง จบถึงเวลา สิบโมงครึ่งก็ถึงคิวเรียกเข้าห้องตรวจกับคุณหมอ   พอเข้าถึงให้เคสคุยกับคุณหมอก่อน  ด้วยเคสมีอาการที่นั่งนิ่งๆ ไม่ได้  จนคุณหมอต้องดุว่านั่งเฉยๆอย่าขยับ  คุณหมอก็ได้แต่พยักหน้าจากปากของคนไข้   แต่คุณหมอมองครูตลอดเวลา  จนกว่าครึ่งชั่วโมง ครูจึงให้แม่กับเด็กออกไปก่อน นั่งคุยกับคุณหมอเกือบครึ่งชั่วโมง  เล่าประวัติคนไข้กับลูก  แต่สิ่งที่ต้องการให้คุณสั่งตรวจเลือด หลายเรื่องด้วยกัน เช่น ตรวจดูไทรอยด์ด้วย   ตรวจกามโรค โรคหนองใน  ตรวจโรคเอดส์ด้วย ฯลฯ ทั้งหมด 9 อย่างด้วยกัน  ทั้งคุณหมอและครูหนักใจพอกัน  แต่ทั้งหมดของดูผลเลือดก่อน  นัดดูผลเลือดเช้าวันที่ 16 มีนาคม 2561  แล้วคอยมาหาแนวทางแก้ไขกันอีกครั้ง

  

          ถึงเวลาจ่ายเงินและเจาะเลือด  จ่ายเต็มค่ะไม่มีการลดหย่อน  ขอสงเคราะห์ก็ไม่ได้เพราะไม่มีเอกสาร  จ่ายก็จ่าย  ได้ทำบุญวันเกิดตัวเองแล้วกันปีนี้......  ถึงเวลาเจาะเลือด ตัวแม่ท่าทางกลัว  แต่ครูเองนั่งคอยด้านนอก  เพราะงานนี้เอาเก้าหลอดด้วยกันเยอะอยู่  เจาะสามครั้งถึงจะได้เลือดไปตรวจ  แม่เด็กไม่นิ่งเลย  เมื่อเจาะเลือดเสร็จให้แม่กับเด็กไปนั่งคอยใช้เวลาอีกชั่วโมงจ่ายเงินค่ายารับยา  ยาแก้คันและยาทา  จนลูกหลับไปแล้ว อาการของเด็กก็เริ่มไม่ยอมจะหลับอย่างเดียว  ครูก็เลยต้องออกโรงว่า ครูให้นอนตรงนี้แล้วกัน ส่วนแม่กับครูจะต้องลงไปตรวจอีกตึกหนึ่ง  ฝากพยาบาลไว้ก่อน หลับตามสบายเลย   เด็กน้อยจึงยอมลุกตามแม่มา  แค่ตรวจเรื่องเดียวก็เกือบบ่ายไปแล้ว

          จึงพากันลงไปกินอาหารกลางวัน เด็กกับแม่ซื้อลูกชิ้นกิน  แล้วทิ้งทุกอย่างไว้ที่ใต้โต๊ะ  งานนี้ครูก็จัดการเลยค่ะ ห้ามทิ้งแบบนี้เพราะสถานที่นี้ไม่ใช่ที่ถนน กินอะไรเข้าปากที่เหลือเป็นเศษขยะจะทิ้งตรงไหนก็ทิ้งไม่ได้  เพราะสถานที่นี้คือโรงพยาบาลทุกคนต้องช่วยกันรักษาความสะอาด  แม่เด็กมองหน้าครู  แต่งานนี้ครูดุและเอาจริงด้วย ให้เก็บที่ทิ้งแล้วนำไปใส่ถังขยะ  ไปล้างมือให้สะอาด   จึงต้องคุยกันเรื่องท้องเสียของแม่และลูกที่เรื้อรังมากว่าสี่เดือนทั้งสองคน  อาจเพราะความสะอาดในอาหารที่กินก็ได้

          ประมาณบ่ายโมงครึ่ง  คลินิกนานาชาติเริ่มตรวจ  แม่เด็กถูกเรียกเข้าไปเป็นคนแรก  ได้ยินคุณหมอพูดเป็นภาษากัมพูชา  แต่นำเสียงเหมือนดุมากกว่าอธิบาย  พอแม่เด็กออกมาครูถามแม่เด็กนั่งก้มหน้าอย่างเดียว  ครูจึงเดินเข้าไปถามพยาบาลว่าต้องดำเนินการขั้นตอนอะไรบ้างที่เหลืออยู่  ต้องนำเอกสารไปที่ห้องคิดเงิน ห้องจ่ายยา  คงต้องนานหน่อย เพราะส่วนมากจะเป็นกลุ่มคนต่างด้าวโดยเฉพาะ

          ครูจึงพาแม่และเด็กไปที่ ห้องคิดเงินและจ่ายยา  นั่งคอยอย่างยาวนานกว่าสองชั่วโมง จนถึงประสามบ่ายสามโมงกว่าแล้ว  เด็กน้อยง่วงนอนอีกครั้งหลับยาวค่ะ  ส่วนครูนั่งทำงานเอกสาร โทรประสานงานและยกเลิกงานในช่วงเย็น  เพราะรู้สึกกว่าตัวครูเองเหนื่อยใจแบบบอกไม่ถูก  ร่างกายก็เพลียอยากนอนมาก

          เมื่อได้ยามาแล้ว  จึงเป็นยาอีกจำนวน 3 ตัว ซึ่งต้องกินหลังอาหารเช้า  หลังอาหารกลางวัน  และหลังอาหารเย็น กินอาหารเสร็จภายในครึ่งชั่วโมงกินยา  3 ตัวนี้   แม่เด็กบอกว่าไม่กินได้ไหม  ครูมีอาการของขึ้นว่าถ้าไม่กินยาแล้วมาหาคุณหมอกันทำไม  ตั้งแต่เช้ายุ่งยากกันแค่ไหนก็รู้ไม่ใช่หรือ อยู่ด้วยกันตลอด  "ไม่มีบัตรคือไม่มีสิทธิในการรักษา" แล้วจะบอกทำไมว่าจะไม่กินยา  ยาทุกตัวต้องกินให้หมด จนกว่าจะถึงวันศุกร์หน้า  ที่คุณหมอนัดฟังผลเลือด

          สุดท้ายแม่ของเด็กบอกว่า เขากลัว  กลัวว่าจะกินยาชุดนี้เป็นชุดสุดท้าย  ถ้าเป็นโรคเอดส์  ครูช่วยดูแลลูกของฉันด้วยนะ ฉันไม่มีใครแล้วพ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว  เหลือแต่ลูกแค่สามคนเท่านั้น  ความกลัวแพร่กระจายไปตัวร่างของแม่   ครูจับมือแม่ว่าภายในสัปดาห์นี้ใช้ชีวิตให้ปกติ   ลุ้นผลเลือดกันดีกว่าอย่างเพิ่งกังวล  อย่างเพิ่งสั่งเสีย   ภาระที่มีค่อยหาหนทางแก้ไขกันนะ

          ครูพูดปลอบในท่ามกลางคนต่างด้าวที่ยืนมองแม่ลูกคู่นี้อยู่ รู้ทั้งรู้ว่าเขากลัว    ครูเองก็กลัวว่า เกิดเป็นโรคนี้จริง  จะช่วยเหลือกันอย่างไร   .......เป็นอะไรที่หาคำตอบไม่ได้ในวันสตรีสากล   ที่สตรียังต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ......