ครู.....เข้าข้างคุณหมอ
นางสาวทองพูล บัวศรี
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
เรื่อง เป็นเรื่อง ด้วยว่าครูกับครูมุ้ย ได้ร่วมงานกับทาง ดร.ลือชัย ศรีเงินยวง มหาวิทยาลัยมหิดล กับทีมของ คุณหมอโชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ (คุณหมอจูน) จากสถาบันสุขจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต ในโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพเพื่อการเข้าถึงบริการและการมีส่วนร่มของวัยรุ่นกลุ่มเปราะบาง
โดยทางครู อยากทำชุมชนเปรมฤทัย เป็นโมเดลในการดูแลแม่และเด็กเร่ร่อนต่างด้าว ซึ่งมีทั้งด้านการศึกษา ซึ่งมีเด็กทั้งหมด 52 คนที่เรียนในระบบและ การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย ด้านสุขภาพที่เด็กเจ็บป่วยกันมาก แต่ยังเข้าไม่ถึงระบบสุขภาพถ้วนหน้า (ในการซื้อบัตรสุขภาพให้เด็ก เด็กที่เข้าเรียนได้ซื้อบัตรอุบัติเหตุ เป็นปีแรกในราคา 150 บาท) เกิดป่วยขึ้นมา พ่อ แม่ก็แค่ซื้อยาให้กิน หรือมาขอที่บ้านครูมุ้ย โอกาสที่จะพาลูกไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลฝันไปเลย ไม่เกือบตายไม่พาไป รักษาแบบตามมีตามเกิด จะตายไปสักคนครอบครัวก็ไม่เดือดร้อนเพราะมีลูกครอบครัวหนึ่งไม่น้อยกว่าสามคน เพื่อคนไหนที่เสียชีวิตก็จะมีคนอื่นทดแทน (เสียงเล่าจากแม่คนหนึ่ง ที่สิ้นหวัง เพราะลูกป่วยหนักมาก อยู่ที่โรงพยาบาล ไปถึงมือคุณหมอทุกอย่างก็สายเกินไป เพราะระบบภายในล้มเหลวแล้ว)
เมื่อวันพุธที่แล้ว ครอบครัว นางขุด(นามสมมุติ) ที่แม่ป่วยเป็นวัณโรค พบคุณหมอพร้อมกับลูกอีกสามคน ที่ทุกคนมีเชื้อวัณโรคอยู่ในตัว แต่ลูกคนเล็กของนางขุด ไม่ได้อ่านผลการทดสอบวัณโรคที่ผิวหนัง แต่ลูกคนเล็กมีอาการผื่นขึ้นเต็มที่แผลทดสอบ โอกาสเป็นวัณโรคมีสูงมาก
อีกสาเหตุหนึ่ง คือขอประวัติการรักษาเก่าไม่ได้ ครูเองวิ่งไปสองแห่งไม่มีผลการรักษาสักแห่งเดียว คุณหมอประเมินไม่ได้เลย จะเริ่มรักษาใหม่ก็กลัวอาการดื้อยาของวัณโรคที่จะมีผลหนักกว่าเก่า ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเด็ก เป็นประเด็นสำคัญมาก
งานนี้คุณหมอดุแม่และเด็กทั้งสามคน ครูอยู่ในห้องวินิจฉัยด้วย โดยปกติครูจะเป็นเป็นเข้าข้างเคส แต่สำหรับครอบครัวนางขุด ครั้งนี้ครูโกรธมาก ในครั้งนี้ก็โกรธมาก ให้ทำอะไรก็ไม่เอาสักอย่าง ไปหาอะไรก็ไม่มีเพราะหายหมด
เริ่มตั้งแต่ เมื่อปลายปี 2559 แม่กับลูกถูกจับ ซึ่งแม่ก็เองก็เริ่มป่วยแล้ว ถ้าตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ก็แยกแม่เข้าสำนักงานกักกันสวนพลู ส่งเด็กเข้าไปยังสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด และทางครูและครูมุ้ย ลงไปเยี่ยมแม่เด็กที่สวนพลู ซึ่งที่พบคือ นางขุด ยาที่กินต่อเนื่องวัณโรคขาด และหมดลง นางขุดจึงมีปัญหาที่สุขภาพทรุดโทรมมาก และกำลังอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาด แต่สภาพห้องกักอยู่ด้วยกันกว่า 100 คน ทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย ผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นคนต่างด้าวทั้งนั้น ทางเจ้าหน้าที่(ผู้กองขวัญ) ขอให้ครูไปรับเด็กจากสถานสงเคราะห์มาส่งให้แม่ก่อน ทาง สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีการส่งกลับภายใน 3 วัน
นางขุดก็ส่งกลับที่ปอยเปต แล้วได้เดินทางย้อนกลับมาที่ชุมชน ไปรักษาตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ ในครั้งนี้ก็ต้องเริ่มกินยาใหม่ และต้องพบคุณหมอทุกสองอาทิตย์ เพื่อการปรับยาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย ร่างกายเป็นเหมือนเครื่องทดสอบกับยาอีกครั้ง กินยาแล้วมีอาการเจียน จนดีขึ้นประมาณ เดือนที่สอง ก็ยังไปรับยา แต่ปัญหาที่พบ คือการขาดความต่อเนื่อง เพราะเคสยังพาลูกคนเล็กออกไปขอทาน
ประมาณเดือนพฤษภาคม 2560 ถูกศูนย์ปฏิบัติการขอทานเชิญตัวไปรับการสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 ที่สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งนนทบุรี ครูได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ และมีโอกาสไปเยี่ยมตามพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศของ กรมเด็กและสตรี ของประเทศกัมพูชา ที่มาเยี่ยมเยียนและแลกเปลี่ยนในการทำงานด้วยกัน ทั้งกระบวนการส่งกลับและการดูแลเคสภายในสถานคนไร้ที่พึ่งให้รับสวัสดิการอย่างแท้จริง
งานนี้ยาหมดเหมือนเดิมเพราะคุณหมอให้ที่ละเดือน เพื่อการติดตาม จึงต้องมาเริ่มรับยาใหม่ ที่โรงพยาบาลชลประทาน แม่กับเด็กอยู่ในสถานคุ้มครอง อีกประมาณ 8 เดือน และเริ่มต้นกินยากันอีกครั้ง งานนี้เพราะอยู่ในสถานคุ้มครองฯอย่างต่อเนื่อง กินยาครบตามที่คุณหมอสั่ง เมื่อส่งกลับและมาพบกันอีกครั้งร่างกายสมบูรณ์ขึ้น แต่ยังไม่ได้ไปตรวจเช็คตามที่หมอนัด นางขุดจึงบอกใครต่อใครว่าหายแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว
จนเมื่อ 4 มกราคม 2561 ทางครูและครูมุ้ย ทีมงานคุณหมอจูน ได้รีบความอนุเคราะห์ จากทีมคุณหมอ สถาบันเด็ก ได้ลงตรวจร่างกาเด็กทั้งหมด 73 คน ในชุมชนเปรมฤทัย และมีการประเมิน 3 ครอบครัว ซึ่งทางสองครอบครัวที่มีแม่เป็นวัณโรค และส่งผลกระทบต่อเด็กในครอบครัวทุกคน หนึ่งครอบครัวเอาใจใส่ลูกเป็นอย่างดี
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 ครอบครัวนางขุดได้พบคุณหมอ แม่เด็กเองยืนยัน นอนยันว่า รักษาวัณโรคครบแล้ว หายแล้ว แต่อาการที่เห็นสุขภาพของแม่พร้อมลูกมีปัญหาอย่างมาก คุณหมอจึงตัดสินใจให้เอ๊กซ์เรย์ของลูกทั้งหมด พร้อมทั้งทดสอบของลูก ซึ่งวันนั้นทุกอย่างกว่าจะเสร็จก็มืดค่ำอย่างมาก คุณหมอใจดีมาก ตรวจพวกเราจนเสร็จทุกคน ให้คำปรึกษาคำแนะนำอย่างดี ทุกครอบครัวดีใจที่เชื้อวัณโรคต้องถูกตัดตอนก่อนที่แพร่ระบาด แต่ความจริงการแพร่ระบาดคงระบาดไปก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าเด็กคนไหนฉีดวัคซีนก็ถือว่ามีภูมิคุ้มกันส่วนหนึ่งแล้ว ด้วยความจริงใจของคุณหมอทั้งสองท่านดูแลเด็กของครูกว่า 13 คน อย่างเต็มที่พร้อมพยาบาลที่คลินิกวัณโรค เป็นห่วงและเอาใจใส่เป็นอย่างดี ลงมาถึงตึกหน้ามาอธิบายขั้นตอนที่ครูต้องดำเนินการในวันรุ่งขึ้น สำหรับครูคือการอำนวยความสะดวกให้ครูได้ทำงานอย่างเต็มที่
การทดสอบที่ต้องฉีดยา จึงต้องมาวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 ทุกคนรับทราบเป็นอย่างดี ก็พากันมาแต่เช้า งานนี้ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายเรื่องรถ เป็นค่าใช้จ่ายที่มีอาจารย์ช่วยสนับสนุนผ่านมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กมาก้อนหนึ่ง ส่วนรายการในการทดสอบ และค่ายาต่างๆ ใช้เป็นค่าใช้จ่ายผ่านโครงการฯของคุณหมอจูน (ซึ่งค่าใช้จ่ายก้อนแรกมากพอสมควร เพราะต้องจ่ายทุกอย่าง ) ซึ่งต้องมีการอ่านผลการทดสอบ ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์
พอถึงวัน ครูมุ้ย ต้องไปประสานงานกับคลินิกหลายแห่ง ทุกคลินิกไม่มีเครื่องที่จะอ่านผลทดสอบ แต่ก็รอไม่ได้แล้วเพราะเป็นต้องครบสามวันในการอ่านผลครั้งนี้ สุดท้ายต้องไปโรงพยาบาลสำโรงการแพทย์ เพราะมีเครื่องมือในการอ่าน ครูมุ้ยจึงต้องพาเด็กทั้งหมดไปอ่านผล แต่ปรากฏว่านางขุดกับลูกคนเล็กไม่ไปตามนัด โดยอ้างกับครูมุ้ยว่า พาเด็กออกไปอโศกแล้ว ครูมุ้ยโทรหาครูทันที แต่เมื่อแม่ไม่ให้ความสำคัญ ครูทั้งสองคนก็ช่วยไม่ได้จริง จริง ครูทั้งสองคนก็ช่วยประสานงานทุกอย่าง และพาเด็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยงทำกันทุกอย่าง
ถ้าแม่ไม่ให้ความสำคัญ เพราะทุกครั้งแม่ก็จะพูดเสมอว่า ครูต้องช่วยฉันและครอบครัวนะ แต่การกระทำครั้งนี้ส่งผลกระทบกับเด็กน้อยเป็นอย่างมาก การไม่ได้อ่านผลทำให้ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด และที่สำคัญคือมันต้องใช้เงิน เพราะค่าทดสอบ ค่าวินิจฉัย จำนวนครั้งละ 50-100 บาท ค่าฉีดยา 20-50 บาท ค่ายาทดสอบตั้งแต่ 333-487 บาท แล้วแต่ละคนใช้ยาทดสอบ
ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 ทางครูทั้งสองคน ไปประสานงาน ขอประวัติในการรักษาของ นางขุด และแม่อีกครอบครัวหนึ่ง การประสานงานครั้งนี้ไม่มีประวัติด้วยเหตุผลว่าเป็นคนต่างชาติ บัตรคนป่วยหาย ก็ไม่มีสิทธิ
เมื่อมาพบคุณหมอในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 คุณแม่กลับไม่ตอบสนองอะไรสักเรื่อง ถามอะไรไปก็ตอบว่าไม่รู้เรื่อง ความจริงครูโกรธมาก(สารภาพเลยค่ะ) แต่ครูยืนอยู่ในห้องกับคุณหมอ คุณหมอมองหน้าครู แล้วเอ่ยขึ้นว่า
แม่เอาเงินมาก่อน 500 บาท เพราะสิ่งที่ครูทั้งสามท่าน ทำให้มาสอง-สามสัปดาห์นี้เป็นเรื่องใหญ่มาก คุณหมอมีหน้าที่แค่รักษา แต่ถ้าแม่ไม่ให้ความร่วมมือแบบนี้ คุณหมอให้กลับไปเลย รู้ไหมว่าโรคนี้ถ้าเด็กที่ใกล้ชิดกับแม่ทุกคนมีเชื้อวัณโรคอยู่ในตัว แบบสองชนิดด้วยกัน ตอนนี้แม่เท่ากับต้องเริ่มที่ศูนย์ใหม่หมด
สิ่งที่เป็นกังวล กลัวที่สุดคือเชื้อดื้อยา ถ้าเชื้อวัณโรคดื้อยา ร่างกายของคนป่วยจะแย่กว่านี้แน่นอน สุดท้ายร่างกายจะไม่ไหวต่อการใช้ยา ทำให้เด็กมีสุขภาพที่ไม่ดี และสุดท้ายบางคนตาย บางคนเป็นพิการ การดูแลตั้งแต่เริ่มต้นในสิ่งที่ครูทำ ทำถูกต้องแล้ว ทั้งการป้องกันการแพร่ระบาด การกระจายโรคไปยังคนอื่น แม่ไม่รักตัวเองไม่เป็นไร แต่ต้องรักลูกและคนอื่นๆด้วย แต่แม่กำลังทำให้ทุกอย่างแย่ลง ลูกอาจไม่มีชีวิตรอดก็ได้นะแม่
งานนี้คุณหมอคุยกับแม่ ซึ่งครูเองก็อยากจะพูดเหมือนกัน แต่ทุกอย่างที่คุณหมอพูดเป็นเรื่องที่ครูเองห่วงใยเป็นอย่างมาก แม่นั่งเงียบมาก เพราะที่สำคัญ "วัณโรค" ต้องดูแลตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนอื่นๆต้องมาติดต่อด้วย กลายว่าครอบครัวตัวแม่เองเป็นผู้แพร่เชื้อ และระบาดไปทั้งชุมชน กลายเป็นต้นตอของการแพร่วัณโรคให้อื่น ไปด้วย
ครูเองเข้าข้างคุณหมอเป็นอย่างมาก เห็นด้วยเป็นอย่างมาก ยิ่งคุณหมอบอกว่าต้องเริ่มต้นใหม่ ครูเองก็คิดถึง "เงิน" ในกระเป๋าเหมือนกัน เพราะไม่ได้เตรียมที่จะต้องมาเสียซ้ำซ้อน แต่คุณหมอบอกว่าแค่เริ่มต้นที่หนึ่งยังไปไม่ถูกเลย อย่างหวังว่าเรื่องอื่นจะไปได้ดี
การใช้ระยะเวลาการรักษาต่อเนื่อง การพบคุณหมอในแต่ละเคส ใช้เวลา 2 ปี ซึ่งแต่ละครั้งที่มาหาคุณหมอ ก็คือค่าใช้จ่ายด้วย
"งานนี้ไม่มีอะไรฟรี" บนโลกใบนี้ เป็นตอกย้ำกันอีกครั้ง คนต่างด้าว คนจน สิทธิในการรักษายังแตกต่างกันอยู่เหมือนเดิม
สิ่งสำคัญครูต้องการให้เด็กได้รับการดูแลที่ดี ในการรักษา จะได้ไม่ต้องมาเสียชีวิตเพราะ
"วัณโรค"