ชีวิตที่ไม่เท่ากัน ..เราต้องสู้
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
ด้วยโควิด-19 ตั้งแต่ระลอกแรก /ระลอกที่ 2 จนมาถุงปัจจุบัน เป็นระลอก 3 ระลอก 4 เกิดขึ้นสมบูรณ์แบบ แล้วทีท่าจำนวนคนที่ติดโควิด-19 ก็ยังเป็นหมื่นคนทุกวัน และมีคนตาย ไม่ต่ำกว่า 100 คน เป็นการสูญเสียทรัพย์กรมนุษย์ทุกเพศ/ทุกวัย แต่สำหรับผู้สูงอายุ และบุคคลที่มีโรคเรื้อรัง น่ากลัวสุด ข่าวที่เกี่ยวข้องกับการตาย แต่มีผลกระทบสำหรับบุคคลที่หาเช้ากินค่ำ ที่ตกมาตกงาน /รับจ้างไม่ได้เพราะไม่มีใครจ้าง งานก่อสร้างก็หยุอย่างต่อเนื่อง ด้วยคำสั่งของพระราชบัญญัติฉุกเฉิน
สำหรับโครงการครูข้างถนน และโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ มีการปรับวิธีการลงพื้นที่ ที่เน้นด้านหน้างานเท่านั้น หน้าแคมป์คนงานก่อสร้าง /สำหรับพื้นที่บนท้องถนนก็ปรับเหมือนกัน จัดการแบ่งปันอาหารแบบห่วงๆ มอบให้แบบห่างๆ แต่ห่วงใยทุกคน ทั้งเด็กเร่ร่อนไทยถาวร/เด็กเร่ร่อนไทยชั่วคราว(กลุ่มที่ทำงานบนท้องถนน ขายดอกไม้ ขายดอกจำปี ขายพวงมาลัย )และกลุ่มแม่และเด็กเร่ร่อนต่างด้าว ที่แบ่งปันถุงยังชีพ เพื่อประคองชีวิตให้รอดปลอดภัย
เมื่อปลายปี 2563 ครูเองลงไปทำธุระ บริเวณชุมชนหลังวัดหลักสี่(กุฎิขาว) หลังโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ได้พบเด็ก 3 คน พี่น้อง ที่เดินขายปลาทอด โดยการหามขาย ขายถุงละ 20 ปี ครูเองก็ซื้อมา 3 ถุงด้วยกัน ในครั้งนั้นมีการป่นปลาด้วย ซึ่งเป็นอาหารสำหรับแมวได้ แต่ในครั้งนั้นมีงานประชุมด่วน ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และก็ตั้งใจจะหาเด็กชุดนี้พักอยู่ที่ไหน เก็บข้อมูลเอาไว้ก่อน
เมื่อเดือนมีนาคม 2564 ได้พบเด็กทั้ง 3 คน อีกครั้ง ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ซอยแจ้งวัฒนะ 5 ครั้งนี้ให้ผู้ช่วยครูรักษ์ยิ้ม ไปพูดคุยกับเด็ก ติดตามถามไถ่กับเด็ก พร้อมมอบถุงยังชีพให้เด็กจำนวน 3 ชุด เพื่อให้เด็ก เด็ก ได้มีอาหารการกิน แล้วตั้งใจจะไปเยี่ยมครอบครัว
จนเมื่อเดือนมิถุนายน 2564 ผู้ช่วยครูรักษ์ยิ้ม ไปพบเด็ก เด็ก ทั้ง 3 คน ไปขุดไส้เดือน ที่ดินว่างเปล่า เพื่อเอาไปเป็นเหยื่อตกปลาในคลองเปรมประชา (หลังชุมชนวัดหลักสี) จึงให้เด็กทั้ง 3 คน มาพบที่มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก พร้อมจัดถุงยังชีพให้จำนวน 3 ชุดแบบครอบครัว แล้วให้พาไปเยี่ยมบ้าน
โดยมอบครูซิ้ม พร้อม ผู้ช่วยครูรักษ์ยิ้ม ติดตามครอบครัวนี้ ให้ทำบันทึกประวัติครอบครัว พร้อมกับหาแนวทาช่วยเหลือในเรื่องการศึกษา มีคุณยายอายุ 62 ปี ที่ต้องรับผิดชอบเลี้ยงหลานจำนวน 6 คน มาจาก 3 ครอบครัว
-ครอบครัวแรก มีลูก 3 คน พ่อของเด็กเสียชีวิต แม่หายไปมีครอบครัวใหม่ ความรับผิดชอบในการดูแลทั้งหมดจึงตกอยู่ที่ยาย
-ครอบครัวที่สอง เป็นน้องชายของยาย ที่ป่วยเป็นอัมพาต มีลูกเล็กที่อยู่ชั้นอนุบาล จำนวน 2 คน แม่เด็กก็ตกงานจากโควิด-19 มาปีกว่าแล้ว เด็กจึงมาอยู่กินที่บ้านยาย
-ครอบครัวที่สาม ลูกชายคนที่ 2 มีลูก 1 คน แต่แม่ไปมีครอบครัวใหม่ มีอาชีพขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง และเป็นคนที่หาเงินมาจุนเจือเรื่องอาหารเป็นรายวัน
สิ่งที่คุณยายกับหลานต้องเผชิญอยู่ คือ อาหารที่หาได้หรือนำปลาทอดไปขายไม่เพียงพอกับอาหารที่เด็กจำนวน 6 คนพร้อมผู้ใหญ่อีก 4 คน ในแต่ละวันไม่พอที่จะกิน
ครูเน้นอีกเรื่องคือเรื่องการศึกษาของเด็ก ปรากฏว่า เด็กได้เรียนหนังสือทางออนไลน์แต่ปัญหาที่พบ คือ เด็กทั้ง 6 คน มีมือถือเครื่องเดียวที่เรียนได้
-คนโต เรียนมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนเคหะทุ่งสองห้อง เด็กไม่ได้เข้าเรียนเลย แต่ไปรับเอกสารมาทำการบ้านบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนมากจะทำงานทุกอย่าง เด็กน้อยบอกกับนักข่าว หรือแม้แต่ครู คืออยากทำงานด้วยเรียนด้วย (เป็นความคิดที่ดีของเด็ก)
-คนที่สอง เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรียนบ้างไม่ได้เรียน เพราะต้องแบ่งกับน้องอีกคน คนนี้ส่วนใหญ่จะออกไปขายปลากับพี่สาวคนโต (คุณยายไม่ยอมให้เด็กไปคนเดียว เพราะความเป็นห่วง เวลาเดินด้วยกัน 3-4 คน จะมีคนช่วยดูแล
-คนที่สาม เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีพ่อที่ขับวินมอเตอร์ไซด์รับจ้าง แต่ปัญหาที่พบคือ คาจ่ายแทบไม่พอซื้อข้าว/กำกับข้าว/ขนม ให้สำหรับครอบครัวใหญ่ 10 ชีวิตด้วยกัน บางวันก็กินครบมื้อ บางวันแล้วที่จะมี (ส่วนมากคนนี้จะได้เรียนเป็นประจำ เพราะมือถือของพ่อ ที่เรียนได้)
-คนที่ที่สี่ เป็นเด็กผู้ชาย ที่จอมซนอย่างมาก เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ทำงานทุกอย่างตามที่คุณยายสอน แต่ด้วยความเป็นเด็กผู้ชายจึงมีความซุกซนเป็นเรื่องปกติอย่างมาก ทั้งเรียนทั้งทำงาน (เดินขายปลาทอด เป็นที่ที่จะร้องบอกคนซื้อบรรยายสรรพคุณ คุณค่าของปลา เด็กหนุ่มน้อยคนนี้จึงไปกับ ทีมทุกครั้ง สี่คนแบ่งกันขาย แบ่งกันทำหน้าที่ เพื่อขายให้ได้เงินมากที่สุด พร้อมกับขายหมดจะได้รีบกลับบ้าน ไปทำการบ้านต่อ มีบางครั้งที่ได้วิ่งเล่นบ้างเป็นครั้งคราว)
-สำหรับที่ห้า-คนที่หก ทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน เป็นลูกของน้องชายที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ/อัมพาต/ ตอนนี้มีคนจ้างเลี้ยงไก่ชน รายได้ของพ่อแม่ไม่มีประจำ สำหรับเด็ก 2 คน มากินอยู่กับคุณยาย ทั้งหมด ในเรื่องเรียนยังอยู่ช้นอนุบาลอยู่ เรียนบ้าง/หยุดบ้าง แต่สิ่งสำคัญคืออยู่กับยายที่บ้าน ในช่วงกลางวัน เหมือนตัวติดกันตลอดเวลา เพราะกลัวการตกน้ำ/หรือไปเล่นนอกบ้านแล้วเกิดอุบัติเหตุ แต่สาวน้อยทั้งสอง ช่วยกันทำความสะอาดบ้าน
สิ่งที่ทางโครงการครูข้างถนน/โรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ได้ดำเนินการช่วยเหลือ และพยายามที่จะให้เด็กทุกคนอยู่ในระบบการศึกษา ทั้งออนไลน์และออนไซด์
(1) ทางโครงการฯ ได้ดำเนินการพยุงด้วยถุงยังชีพ เป็นรายเดือนด้วยข้าวสาร ด์อนละ 30 กิโลกรัม พร้อมน้ำมัน/นำปลา/มาม่า ที่หาได้มาแล้วแต่ผู้บริจาค จะบริจาคมาให้ สำหรับครูเน้นเรื่องข้าวสารก่อนเป็นอันดับ มีข้าวอยู่ในหม้อจะประทังความหิวไม่ได้
(2) ทางโครงการฯจัดสรรงบประมาณ จากบริษัทบีคัมเวริดลฺ จำกัด จำนวน 4,000 บาท เป็น 2 ครอบครัว โดยครูให้ครูซิ้มกับผู้ช่วยครูรักษ์ยิ้ม พากันไปซื้อมือถือ จำนวน 1 เครื่อง ในราคา 2,190 บาท พร้อมค่าเน็ต ที่ต้องใช้เรียนออนไลน์ แต่ก็ยังขาดเครื่องมือถือ สำหรับเด็กที่เรียนมัธยม เพราะใช้กันคนละระบบ
(3) ทางโครงการฯประสานงาน FC ที่ติดตามงานของทั้งสองโครงการฯมาตลอด และเอยปลาว่าต้องการให้ช่วยอะไร ยินดีเป็นอย่างยิ่ง (ชื่อคุณแตน ที่ส่งฟ้าทะลายโจร พร้อมผลไม้ ส่งมาให้ครูได้ทำกิจกรรม ตลอดจนส่งเส้นหมี่/ปลากระป๋อง/ข้าวสาร เวลาที่มีกรณีศึกษาที่ต้องการความช่วยเหลือด้วยความเร่งด่วน ) โดยส่งเงินมาซื้อ โทรศัพท์ ให้น้องคนโตคนที่หนึ่ง ได้เอาไว้ใช้เรียนหนังสือ ซึ่งจะได้ไปพบคุณครูประจำชั้นเป็นครั้งแรก ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 พร้อมการเปิดบัญชีธนาคารออมสิน โดยทางครูซิ้ม ไดมีการประสานงานของ โครงการทุนการศึกษา มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก จำนวน 2,000 บาท (เรื่องทุนไม่ได้ต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับผู้ให้ทุนที่จะให้ในแต่ละปี ) ก็ไม่ได้การันตีว่าเด็กจะมีทุน จนเรียนจบ เป็นพียงบรรเทาไปก่อน ครูจึงต้องหาทางออกต่อ
(4) ทางโครงการฯ ได้รับการประสานงานจาก “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” ว่ามีทุน ที่จะให้สำหรับเด็กที่เรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 และกลุ่มที่เรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 50 ทุน
ซึ่งในขณะนี้ทีมงานของครู กำลังดำเนินการเรื่องเอกสาร/การตรวจสอบถึงกลุ่มเด็กเข้าเรียนต่อเนื่อง และกลุ่มที่ออกกลางคันของเด็ก
แม้ชีวิตของเด็กทุก 6 คน ดูเหมือนได้รับความยากลำบาก ชีวิตที่ไม่เท่ากันของเด็ก แต่คำสอนของคุณยาย มีคุณค่าทางด้านจิตใจที่ดีงาม
-ไม่ต้องอาย “ขายปลาทอด เพราะพวกเราทำงานที่สุจริต” เงินที่ได้มากก็เพราะน้ำพักน้ำแรงของ เด็ก เด็กทุกคน เป็นการฝึกทำงานตั้งแต่เด็ก
-ทุกคน คือ “คนในครอบครัวเดียวกัน ต้องรักกันดูแลกันอย่าทะเลาะ ทำหน้าที่ที่คุณยายแบ่งปันกันให้ดีที่สุด” เพราะทุกคนมีหน้าที่ทำกันตั้งแต่ตื่นนอนมา
-การทำงาน ตั้งแต่ “หาไส้เดือน ตกปลา ทอดปลา แล้วนำไปขาย เมื่อยายตาย มันคืออาชีพ ที่พวกเด็ก เด็กทุกคน นำไปหาเลี้ยงชีวิตได้ในอนาคต”
คำสอนของคุณยาย มีคุณค่า และคุณยายเองก็เป็นตัวอย่างที่ดีปฏิบัติให้ หลาน หลาน ให้เห็น