banner
ศุกร์ ที่ 17 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2561 แก้ไข admin

ผู้แสดงความสามารถบนถนน....ตอนผู้พิการ (ตอนที่ 2)

 


นางสาวทองพูล บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน

 

          บนถนนทุกสายในขณะนี้ อีกกลุ่มที่เพิ่มจำนวนมาก  คือกลุ่มที่เป็นผู้แสดงความสามารถ  ที่เป็นคนพิการ กฎหมายฉบับใหม่  คือ พระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2561  ได้แยกกลุ่มผู้แสดงความสามารถออกจากขอทานโดยเด็ดขาด

          กลุ่มผู้แสดงความสามารถเหล่านี้ ใช้การแสดงดนตรี  การเป็นนักร้องที่ใช้เสียงสดที่มีดนตรีประกอบ  หรือบางคนก็ใช้เสียงสด ร้องเพลงแบบไม่ง้อดนตรี เสียงไพเราะมาก   กลุ่มนี้ส่วนมากจะเดินไป-เดินทาง  ไม่ได้นั่งอยู่กับที่ 

          ได้มีโอกาสติดตามผู้แสดงความสามารถเพื่อพูดคุย ในการหาซื้ออุปกรณ์ และการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ในการแสดงความสามารถในที่ต่างๆ

          กรณีศึกษา แรก   ลุงบุญชัย (นามสมมุติ)  เป็นคนพิการตาบอด   ได้ขึ้นทะเบียนคนพิการ ได้เบี้ยยังชีพแล้วเดือนละ 800 บาท  แต่ไม่พอกินไม่พอใช้ มีหลานอีกสามคนที่ลูกเอามาทิ้งไว้ให้ที่จังหวัดสุรินทร์    ภรรยาลุงดูแลหลานทั้งสามคน   ค่าใช้จ่ายแต่ละคนที่ไปโรงเรียนคนละ 30 บาท รวมเป็น 90 บาท  ที่ต้องจ่าย  ค่าอาหาร ในแต่ละวันห้ามเกิน 100 บาท กินกันสี่คน  ในแต่ละวันมีค่าใช้วันละ 190  บาท  ค่าน้ำค่าไฟฟ้า เดือนละ 2,400 บาท  ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนไม่น้อยกว่า 7,000 บาท ลูกสาวกับลูกเขยได้ส่งมาให้แค่เดือนละ 3,000 บาท  ค่าเบี้ยสูงอายุกับคนพิการ สองคน สองคนได้เดือนละ 3,600 บาท   รายได้ไม่พอกับรายจ่ายในแต่ละเดือน

          จึงตัดสินใจไปซื้ออุปกรณ์การร้องเพลงที่คลองถม  ตู้เพลงใบละ  3,600  บาท ไมค์ลอยที่ต่อจากตู้อีก 1,100 บาท และซื้อ เอ็มพีสาม  ที่มีเพลงจำนวน 3 ชิ้น ชิ้นละ 400 บาท  รวมเป็นเงิน 1,200 บาท  แล้วให้หลานพาไปขึ้นทะเบียนผู้แสดงความสามารถที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด  โดยผ่านการร้องตามเพลงที่เปิด และร้องเพลงสด  ส่วนมากก็จะใช้แคนประกอบด้วย   จึงผ่านจากคณะกรรมการมา ให้ออกไปแสดงความสามารถ  รวมค่าอุปกรณ์ที่ต้องลงทุน 5,900 บาท




          เมื่อได้บัตรผู้แสดงความสามารถแล้วพร้อมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ทำมาหากิน ก็เริ่มวางแผนในการหาเงิน  สถานที่จะหากินพอที่จะคุ้มค่าของที่ลงทุน คือ กรุงเทพมหานคร

          เริ่มหาที่พักแถวๆ วัดไผ่ตัน  ที่เคยเป็นที่พักคนจนที่มาจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะกลุ่มที่มาจากจังหวัดสุรินทร์  มาอาศัยที่วัดเป็นที่พักในราคาถูก  คนจนอย่างพวกผมเป็นที่ซุกหัวนอน

          สำหรับผมเริ่มแต่เช้าจะออกเดินร้องเพลงตั้งแต่ปากซอยวัดไผ่ตัน  ข้ามสะพานลอยมานั่งร้องเพลงที่หน้าโรงพยาบาล ซึ่งในช่วงเช้าจะมีคนเยอะแยะมาก  ได้มีเงินพอสมควรในแต่ละวัน  แต่เงินที่ได้มาก็ยังไม่ได้ทุนเท่าที่ลงทุนไป   จึงต้องค่อยๆเก็บเพื่อเลี้ยงหลานๆ  หลานเป็นกำลังใจให้กับผม

          อาหารเช้ากับอาหารกลางวันส่วนมากก็เป็นสิ่งของที่มีผู้คนซื้อให้กิน  บางวันก็ต้องแบ่งอาหารไว้สำหรับมื้อเย็นด้วย หลังจากนั้น แต่สิ่งที่ต้องซื้อ คือยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ ยาทัมใจ และก็น้ำ  การเดินร้องเพลงไปยังสถานที่ต่างๆไม่ใช่ว่าไม่เหนื่อยไม่เมื่อย  ตอนกลางคืนบางคืนปวดมากจนต้องกินยาทุกอย่างที่บอกมา

          สำหรับน้ำดื่ม  ต้องกินมากอย่างเพราะแดดร้อน ใช้ทั้งร่างกายที่ต้องสะพายตู้เพลง ไมค์โคโฟน  กระเป๋าผ้าที่ต้องแน่นหนาพอสมควร เพราะต้องเก็บเศษสตางค์ที่เป็นเหรียญ หรือบางครั้งต้องใส่พวกขนม อาหารที่มีคนแบ่งปันมา  หรือบางครั้งไม่ต้องเสียค่าที่พักก็ต้องอาศัยนอนไปเรื่อยๆ  แต่สำหรับผมผมเลือกที่จะเช่าห้องนอนคืนละ 80 บาท  เดิมเคยเสียแค่คืนละ 50 บาท  ใช้ห้องน้ำรวม


          สำหรับผมจะเดินร้องเพลงที่กรุงเทพเดือนละประมาณ 17 วัน  แล้วก็กลับไปที่บ้าน  นำเงินไปใช้ในพอในแต่ละเดือน มีบางครั้งก็มาร้องเพลงที่ตัวจังหวัดสุรินทร์เป็นครั้งคราว ในช่วงเดือนแห่งการท่องเที่ยวประมาณเดือนพฤศจิกายน จนถึงเดือน มกราคม  เพราะจะมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวอีสาน  หรือบางครั้งก็ไปขอนแก่น โคราชบ้าง  ส่วนมากผมเดินทางคนเดียว  ให้ยายดูแลหลานแล้วก็อยู่กับหลานๆ  เพราะมีหลานสาวสองคนเป็นห่วง  สองหลานชายคนโตต้องดูแลทุกคนในบ้าน

          การทำงานของผม  ผมมือว่าการร้องเพลงคือการทำงาน  งานของผมคือการขายเสียงเพลงที่ผมร้อง  แต่ก็มีบ้างที่ผมใช้การเปิดเพลงจาก เอ็มพีสาม  ส่วนมากเป็นเพลงลูกทุ่งเก่าๆ

          หลังประมาณสักสิบเอ็ดโมง  ผมจะนั่งรถเมล์ไปลงที่ประตูน้ำ  หน้าบิ๊กซีราชประสงค์ นั่งที่สะพานข้ามคลองแสนแสบ  นั่งกลางแดดเพราะจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินไป-เดินมา  ประมาณไม่เกินสองถึงสามชั่วโมง ก็เดินร้องไปเรื่อยๆ  เพราะเจ้าของที่จะมานั่ง  หรือกลุ่มพวกเจ้าถิ่น พวกเราเป็นขาจรจะรู้กัน

          ประมาณสักบ่ายโมงผมจะนั่งรถเมล์สายสอง ไปลงที่สวนเบญจสิริ  ไปนอนพัก กินอาหารกลางวัน  ส่วนคนตาบอดบางส่วนที่เป็นคนต่างจังหวัดจะมาพักผ่อน นอนกลางวันกันที่นี้ เพราะมีต้นไม่เยอะมาก ใกล้ห้องน้ำ  และเดินทางไปได้หลายสาย

          สักประมาณสี่โมงครึ่งผมก็จะเดินร้องเพลงจากสวนเบญจสิริเดินมาที่สี่แยกอโศก  ทำเลของผมจะอยู่ที่ทางขึ้นรถไฟฟ้าอโศก ยืนบริเวณแถวนั้นสักหนึ่งชั่วโมง  ผมก็จะเดินร้องเพลงจากอโศกจนมาถึงสยามก็เกือบ สองทุ่ม  ผมก็จะขึ้นรถเมล์มาลงที่อนุสาวรีย์    แล้วเดินจากอนุสาวรีย์กลับที่พัก  เพราะบริเวณแถวนี้จะมีร้านขายข้าวต้มจำนวนมากที่เปิดกลางคืน  บางคืนจะได้ข้าวต้มมากินเป็นอาหารเย็น




          แล้วก็จะกลับมานั่งนับเงิน  โดยเจ้าของห้องเช่าจะจ้างเขานับ แล้วให้เขาแยกเหรียญบาท เหรียญห้า  เหรียญสิบ แบงก์ยี่สิบ  จ่ายค่าเช่าห้องในแต่ละคน  ตอนเช้าเด็กคนนั้นก็จะเอาไปแลกที่ร้านสะดวกซื้อ แล้วนำเงินฝากธนาคารให้ผม  สมุดบัญชีจะอยู่กับผม  เมื่อกลับบ้านเมียผมจะเป็นจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายและการเงินภายในบ้าน

          ผมเป็นเพียงผู้แสดงความสามารถที่ต้องคนในครอบครัว  ตอนนี้ผมก็อายุ 69 ปีแล้ว  จะมาร้องเพลงเลี้ยงหลานได้อีกสักกี่ปี   ปีนี้ผมเหนื่อยมาก มีอาการไออย่างต่อเนื่อง เพราะผมมีปัญหาเรื่องปอด  รายได้ปีนี้ไม่ดีเลย  มีกลุ่มคนพิการหันมาร้องเพลงกันมาก  เหมือนแย่งคนบริจาคกันเลย

          สำหรับคนทำงานภาคสนามเองกลุ่มผู้แสดงความสามารถไม่ใช่กลุ่มที่ต้องดูแล  แต่เมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกัน ถึงได้รู้ปัญหาที่เป็นภาระที่พวกเขาแบกอย่างหนักอึ้งมาก  เงินที่ได้มาจากความสามารถ ต้องเก็บ หรือบางครั้งตู้เพลงหาย ก็ต้องหาเงินซื้อใหม่ ถ้าไม่มีตู้เพลงพวกผมก็เหมือนๆๆกับขอทานทั่วไปเหมือนกัน   ตู้เพลงหายกันเป็นประจำ  เพราะส่วนมากเด็กวัยรุ่นกลุ่มที่เป็นเร่ร่อนชอบเอาไปขาย  เพราะตาผมมองไม่เห็น  จึงโดนกันเป็นประจำ โดยเฉพาะพื้นที่สุขุมวิท

          กรณีที่สอง  น้าใจ เป็นผู้หญิงที่ตาบอดสนิททั้งสองข้าง   มาจากสมุทรปราการ  เดินร้องเพลงโดยใช้ไมค์โคโฟน  แต่ใช้เสียงสด  เมื่อมีโอกาสได้คุยจึงรู้ว่าน้าใจเคยเป็นเด็กที่อยู่ในสถานสงเคราะห์มาก่อน   ตอนนี้อายุแก่ประมาณ 61 ปี  ใช้เสียงใสๆ เวลาร้องเพลงเสียงของน้าใจไพเราะมาก  เวลาที่ครูลงงานภาคสนาม เจอช่วงประมาณห้าโมงเย็นจนถึงประมาณสามทุ่ม  ที่ถนนสุขุมวิท  น้าใจจะเดินจากเพลินจิตไปจนถึงพื้นที่อโศก  แต่เวลาที่น้าใจเดินร้องเพลงจะเดินเข้าตรอกซอกซอยจนถึงก้นซอยทุกซอย  ด้วยเสียงที่ดี  เลือกเพลงที่เหมาะ  รายได้ของน้าใจมากจากเสียงจริงๆ

          ด้านครอบครัวน้าใจมีลูกสาวและหลานอีกสองคน  ส่วนลูกเขยก็หายไปกับกาลเวลา ค่าใช้จ่ายในแต่ละวันจึงอยู่ที่รายได้ของน้าใจในแต่ละวัน  รายได้ที่ไม่เคยแน่นอนเฉลี่ยวันละ 200-400 บาท  หรือบางวันก็ได้เพียง 100 บาทก็มี    สำหรับค่าอาหารสามมื้อกับสี่ชีวิต บางวันก็มีกิน บางวันก็ไม่มีกิน   แต่อย่างน้อยสุดต้องกันเงินวันละ 80 บาทให้หลานได้ไปโรงเรียน





          สำหรับน้าใจเองบางวันก็ป่วยเพราะใช้เสียงจริง มีอาการเจ็บคอ เป็นหวัดลงคอบ้าง  มีบางครั้งที่หลานสาวสองคนก็ไปขอทานเป็นครั้งคราว  แต่กลัวจะถูกจับเสมอ

          ผู้แสดงทั้งหลายที่มีโอกาสได้พูดคุย ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายอีก  เพราะทุกคนมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ

          มีบางคนบอกกับครูว่าหน้าชื่นอกตรม  เป็นอย่างกลุ่มนักแสดงความสามารถ

          บางคนก็โชคร้ายถึงร้องเพลงได้ เป่าแคนได้ เป่าขลุ่ยได้แต่ ไม่มีบัตร  บางครั้งก็ถูกจับว่าขอทานเหมือนกัน

          บนถนนกรุงเทพมหานครอยู่ยาก เพราะขึ้นอยู่กับการใช้ดุลยพินิจของผู้บังคับใช้กฎหมาย