การรอคอยของน้องเดฟ อดีตเด็กเร่ร่อน (ตอนที่ 1 สืบหาประวัติหลักฐาน)
นางสาวทองพูล บัวศรี
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
ด้วยโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ปลายปี 2559 ครูได้พบเด็กเร่ร่อน 1 คนที่ไปขอเงินที่ ประตูน้ำ แล้วซื้ออาหารให้กิน เด็กกินเสร็จก็วิ่งหนีไปยอมตอบคำถามอะไรครูเลย เพียงแต่บอกว่าอาศัยอยู่ใต้ทางด่วนสุขุมวิท 1 เท่านั้น
หลังจากนั้นครูได้พยายามติดตามเด็ก ไปใต้ทางด่วน อาทิตย์ละ 3 วัน ข้อมูลที่อยากรู้จักเด็กและครอบครัวก็ยังไม่คืบหน้า จนเอารูปที่ถ่ายไว้ไปให้ ครอบครัวใจ(นามสมมุติ) พร้อมสามี ได้บอกชื่อเด็กๆที่มาอยู่ด้วยที่ใต้ทางด่วน
สิ่งที่เห็น และปะทะความรู้สึก เด็กๆอยู่กันได้อย่างไร แค่เอาเบาะเก่าๆที่เขาทิ้งกันแล้ว มาซ้อนกัน 3 ชั้น แล้วก็ปืนกันขึ้นไปนอน ที่กั้นระหว่างห้องนอนประกอบไปด้วยผ้าห่มที่เขาทิ้งอีกเหมือนกัน ทุกอย่างมาเป็นการนอนอย่างมีความสุขได้
ในกลุ่มเด็กทั้งหมดจากใต้ทางด่วนเริ่มต้นด้วย 5 คน ปัจจุบันขยายเป็น 19 คน ที่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อน แต่มีเด็กชายอยู่คนหนึ่งที่ไม่เคยพูดกับครูเลย นอนทั้งวันทั้งคืน
ครูก็เริ่มต้นจาก การถามครอบครัวใจก่อน เพราะเด็กคนนี้ชอบดูแลน้อง น้องจะกินอะไรพี่ชายคนนี้หาได้ทูนหัว-ทูนเกล้าให้น้องเลย ซักเสื้อผ้าน้อง หรือบางครั้งก็เลี้ยงน้องเพื่อให้นางใจไปธุระ หรือไปอาบน้ำ
การรบเร้าของครู การเดินไปหาแต่ละครั้ง ครูจะหอบหิ้ว ข้าวสารอาหารแห้ง ตลอดจนอุปกรณ์สำหรับเด็ก ตั้งแต่สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน ก็จะหิ้วไปให้เสมอ
การสนทนาของครูก็เริ่มสอบถามจากน้องเดฟ ผมชื่อเดฟครับ ชื่อเด็กชายกิตติพงศ์ อภัยแสง ผมกับแม่ถูกพ่อแจ้งจับว่าแม่เอาพวกผมไปขอเงินที่แคมป์คงงานก่อสร้าง ที่บึงกุ่ม
ผมมารู้ตัวอีกครั้ง แม่ถูกส่งเข้าสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึง น้องชายคนละพ่ออีกคนถูกส่งไปยังบ้านเด็กอ่อนปากเกร็ด ส่วนตัวผมถูกส่งเข้าสถานแรกรับบ้านภูมเวท อยู่ได้เกือบสองปี ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดกลางเกร็ด ขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ความคิดถึงแม่คิดถึงน้องมันมีความรุนแรงที่อยากไปตามหา ในใจคิดแค่ว่าขอให้ออกมาก่อน ครั้งนั้นประมาณปี 2556 ผมกับเพื่อนหนีกันออกมาประมาณ 8 คน แล้วเพื่อก็พาผมไปอาศัยที่ใต้ทางด่วนคลองเตย วิ่งขายดอกไม้ แต่ในกลุ่มนี้มีหัวโจ๊กเยอะมาก
ผมนั้นชอบมากคือการขายพ่วงมาลัยที่ร้อยด้วยดอกไม้ที่รับจ้างจากแม่ค้าที่นั่งร้อย เป็นกลุ่มเด็กลูกครึ่งผิวดำ สามพี่น้อง แม่ของเด็กสามคน ได้รายได้พอซื้ออาหารกิน แต่ก็เผื่อแผ่เพื่อนคนอื่นที่ นอนกันตื่นสาย เพราะเดินกันทั้งคืน เพราะฤทธิ์ของยา
อยู่กันเป็นปี สำหรับผมทำงาน คือเดินข้ามไปที่ตลาดคลองเตยรับจ้างเข็นผัก คันละ 20 บาท ก็ได้เงิน 200-300 บาท ทำงานประมาณ ตีสามจนถึง แปดโมงเช้า แล้วก็กลับมานอน กลุ่มเพื่อก็จะไถ่เงินไป ผมจะกักเงินไว้อย่างน้อย หนึ่งร้อยบาทสำหรับเลี้ยงตนเองในแต่ละวัน
ชีวิตการใช้อย่างอิสระ ก็ต้องดับลงอย่างไม่ต้องมีข้อสงสัย ในเมื่อเพื่อนจำนวน 8 คน ติดยาเข้าไป 6 คน โอกาสที่ผู้บังคับกฎหมาย ตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ก็มาเชิญตัวเข้าสถานแรกรับกันอีกครึ่งหนึ่ง ครั้งนี้ ผมโตอายุ 11 ปี โรงเรียนที่หายขาดมาสองปี เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ เขาก็ไม่ได้ประสานให้ผมได้ไปเรียน การอยู่ในสถานแรกรับ ผมต้องเข้าฝึกอาชีพตามกลุ่มเพื่อการเปลี่ยนแปลงตัวอีกครั้ง เมื่อเจอเพื่อนใหม่ ซึ่งแต่ละคนก็เชี่ยวชาญพื้นที่คนละเพื่อน
ก็เริ่มวางแผนหนีในอีกครั้ง โดยนัดหมายในช่วงตอนค่ำ เพราะเจ้าหน้าที่ก็จะสาระวนอยู่กับการนับยอดเด็กเข้าตึก เวลาค่ำเป็นการซ่อนที่ดี เพราะใกล้มืดหาไม่เจอ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ต้องพาเด็กที่เหลือเข้าตึก ขาดคนติดตาม งานนี้สำเร็จพร้อมเพื่อนอีก 9 คน รุ่นราวคราวเดียวกัน ในช่วงเดือนตุลาคม 2557 แล้วเพื่อนทุกคนก็มุ่งตรงมาอาศัยอยู่ใต้ทางด่วนสุขุมวิท ซึ่งมีแม่ขอเพื่อนอาศัยอยู่แล้ว
สำหรับผมที่นี่คือบ้านหลังที่สองของผม ผมทำงานทุกอย่างที่พอทำได้ เพื่อไม่ต้องการกลับไปที่สถานแรกรับ แต่ผมก็ต้องช่วยราชการเป็นครั้งแรก เพราะถูกจับว่าเป็นต่างด้าว เพราะไม่มีเอกสารใดๆ แสดงตัวตนว่าเป็นคนไทย พยายามจะบอกชื่อตามที่ผมจำความได้ แต่ไม่มีความหมายเลย อย่างไรก็ช่วยราชการที่โรงพักอยู่ดี
จนผมมาพบกับครูตัวเล็ก ครูมาทุกอาทิตย์ พานักศึกษามาสัมภาษณ์ผม หลายเรื่องด้วยกัน ผมรู้ว่าครูใช้คนอื่นเพื่อให้ผมได้เปิดเผยสิ่งที่ผมปิดบังมาตลอด คือชื่อแม่ เอกสาร พร้อมทั้งชื่อที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในขณะเดียวกันครูก็สืบค้นหลายทาง
จนรู้ว่า น้องเดฟ มีชื่อจริง ที่เด็กบอกคือ นายกิตติพงศ์ อภัยแสง ทั้งเด็กบอกและเอกสารที่สถานแรกรับ ใช้ชื่อนี้เหมือน ทางเจ้าหน้าที่ของสถานแรกรับนำชื่อนี้ไปเช็คที่ฝ่ายเทศบาลปากเกร็ด แต่ทุกที่ก็ไม่พบ ทางหน่วยงานจึงทำบันทึกว่าไม่มีเอกสาร
ครูเริ่มลุยต่อ
1.ตามหาชื่อแม่ของน้องเดฟทันที เพราะถกจับมาด้วยกัน แล้วแม่มีเอกสาร จึงได้ชื่อแม่มา แล้วแม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ที่จังหวัดบุรีรัมย์
2.กลับมาหาน้องเดฟ ที่ใต้ทางด่วน ให้ช่วยเล่าเรื่องราว ตอนที่ถูกจับ แล้วครอบครัวส่งไปที่ไหน แล้ว น้องอีกสองคนต้องถูกจับแยกกันอย่างไร รู้แม่ว่าน้องชายชื่อตั๋ม (เด็กชายสมประสงค์ อภัยแสน) พ่อเอาน้องชายไป น้องคนเล็กทางหน่วยงานที่จับ ถูกส่งไปยังสถานเด็กอ่อนบ้านปากเกร็ด แม่ถูกส่งไปยังสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง เมื่อทราบข้อมูลที่ชัดเจนจากน้องเดฟ ครูก็ย้อนกลับไปสถานแรกรับบ้านภูมิเวทอีกครั้ง เจ้าหน้าถ่ายเอกสาร 1 แผ่นให้ ว่าไม่พบข้อมูล ครูเองก็ถือเอกสารใบนั้นกลับมาที่ทำงานว่าจะหมดหนทางช่วยเหลือจริงๆ หรือ....
3.กลับไปเริ่มสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งนนทบุรี อีกครั้งเพื่อขอเอกสารของแม่เมื่อตอนที่ส่งตัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 เจ้าหน้าน่ารักมาก เพราะได้คี่ข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์ จึงทราบว่าแม่นั้นได้ส่งตัวไปที่บ้านกึ่งวิถีที่ปทุมธานี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2556 อยู่ได้แค่คืนเดียวแม่ก็หนีออกจากสถานบ้านกึ่งวิถี จนถึงบัดนี้หาตัวแม่ไม่เจอ ความหวังของครูเริ่มริบหรี่ลงทันที แต่เจ้าหน้าค้นเอกสารที่เป็นบัตรประชาชนของแม่ และทะเบียนให้ ซึ่งมีรายชื่อลูกทั้งสามคนอยู่ด้วย
4.ครูมาเริ่มที่สำนักงานเขตหลักสี่ เพราะมีสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียน และแม่ของน้องเดฟ ชื่อ นางสาวสมศรี ยิ่งสุข กระบวนที่สำนักงานเขตหลักสี่ เริ่มด้วย
-ทำหนังสือขอคัดชื่อ นางสาวสมศรี ยิ่งสุข พร้อมทะเบียนบ้าน และในทะเบียนบ้าน มีชื่อเด็ก ทั้งสามคนอยู่ และที่สำคัญมีเลข 13 หลัก และวันที่ย้ายเข้าทะเบียนบ้านแห่งนี้
-ทำหนังสือขอคัดใบเกิดของ เด็กชายจิตติพงศ์ อภัยแสน แสดงว่าน้องเดฟ จำชื่อตัวเองผิดมาตลอดและใช้ชื่อที่จำผิดนั้น แสดงตัวกับเจ้าหน้าที่บ้านภูมิเวท หรือแม้แต่ครูก็พยายามหาหลักฐานก็ไม่พบ และขอคัดทะเบียนบ้าน และเอกสารที่แสดงตัวตนของเด็กแต่ยังไม่ได้ทำบัตรประชาชน
แบบนี้โอกาสในการทำบัตรประชาชนของน้องเดฟ มีความหวังขึ้น
-ครูก็เลยขอเอกสารของพ่อน้องเดฟด้วย และคัดเอกสารของน้องชายอีก 2 คน
5.ขอวิธีการการพาน้องเดฟที่เป็นเด็กเร่ร่อนวัยรุ่น อายุตามใบเกิดคือ 17 ปี ต้องทำอย่างไรบ้าง เจ้าหน้าที่จึงอธิบายว่าต้องพาเด็กไปทำบัตรตามทะเบียนของเด็กที่อยู่ เพราะ ต้องมีผู้ใหญ่บ้าน กำนัน หรือคนที่เคยเห็นเด็กอยู่ในชุมชนนั้นเสร็จรับรอง แต่หลักฐานของเด็ก ของแม่เด็ก พ่อเด็ก ครูต้องเอาไปด้วย ถ้าถ่ายเป็นเอกสารมีการเซ็นต์รับรองจากสำนักงานเขต ใบละ 20 บาท ครูเอาหมดค่ะ ออกใบเสร็จให้ครูด้วยค่ะ
6.เมื่อได้เอกสารเหล่านั้นมาในช่วงเดือน มกราคม 2562 ครูเริ่มมีความหวัง เรื่องจะมีคนไทยเพิ่มอีก 1 คน และที่สำคัญที่สุดคือ เด็กเร่ร่อนขนาดแท้ การใช้เวลาสืบค้น การคืนเด็กไปสู่ชุมชน บอกได้เลยว่าทำสำเร็จ ได้บทเรียนในการทำงานครั้งนี้ อย่างมากมาย