ความผิดใคร หมาจรจัดกัดเบ้าตาเด็ก
นางสาวทองพูล บัวศรี
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
ครูจิ๋วครับ ผมครูมิ้นท์ มีเรื่องที่ต้องรบกวนโดยด่วน
มีเด็กเก่าที่มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก เคยดูแลตั้งแต่สมัยบ้านเด็กใกล้วัด เขาเติบโตทำงาน ได้พาพ่อเด็กชาวพม่า มาขอความช่วยเหลือ ชื่อนายวสันต์ อยู่อุษา(น้องเล่นว่าโต้ง)
เหตุการณ์เป็นอย่างไร ครอบครัวของนาย เมียว มิน ลัท เป็นชาวพม่าที่มารับจ้างทำงานก่อสร้าง พร้อมภรรยาชื่อ นางปู มีลูกชาย ชื่อ เด็กชายนิธิพงษ์ อายุ 2 ปี 6 เดือน โดยเด็กชายโดนหมาจรจัด ที่อาศัยอยู่บริเวณแถวนั้นกว่าพันตัว เพราะมีคนเอาปล่อยจำนวนมาก และเป็นที่พักราคาถูกของคนงานต่างด้าว จำเป็นต้องอยู่กัน หมาจรจัดตัวหนึ่งตัวใหญ่มาก กัดเด็กชายที่นิธิพงษ์ ที่หน้าผากและเป้าตาด้วย
พ่อเด็กเข้าช่วยเด็กซึ่งหน้าเด็กของเด็กจมไปในดิน เลือดออกจำนวนมากเต็มหน้าเลย พ่อตกใจก็ได้เอาไม้ฟาดไปที่ต้นคอของหมาตัวนั้น แล้วก็รีบอุ้มเด็กไปโรงพยาบาล
ทั้งพ่อและแม่ได้นำเด็กไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดแห่งหนึ่งบริเวณคลองหลวง พอไปถึงพยาบาลฝ่ายคัดกรองก็ไล่ว่าโรงพยาบาลไม่พร้อม ไม่รักษาคนต่างด้าว ให้ไปโรงพยาบาลอื่น งานบริการในการรักษา เข้าใจเป็นอย่างดี แต่อย่างน้อยก็น่าที่จะมีการอธิบายหรือแนะแนวทางในการส่งต่อหรืออธิบายให้พ่อกับแม่ที่หัวใจแทบจะขาดอยู่แล้ว เมื่อไม่ได้รับแนะนำที่ดีพร้อมกับกิริยาฝ่ายบริการที่ไม่อยู่ในหัวใจบริการที่ดี ยิ่งทวีความขุ่นมัวในใจของทุกคน
หัวใจผู้เป็นพ่อก็พยายามหาเงิน ทุกคนที่อยู่ด้วยกันช่วยกันออกค่ารถแท๊กซี่มาที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง ส่งตัวเด็กน้อยเข้าห้องฉุกเฉิน คุณหมอผู้มีจรรยาบรรณในการรักษา ก็ต้องมีหน้าที่ในการรักษา เข้าห้องผ่าตัด เย็บแผลทันที เด็กสูญเสียเลือดจำนวนมาก พร้อมกับความเจ็บปวดบาดแผล เด็กร้องไห้จร๊าลั่นห้องไปหมด เด็กน้อยดิ้นอย่างสุดฤทธิ์ เพราะต้องเย็บแผลกว่า 18 เข็ม เย็บที่หน้าผากของเด็ก แต่ละฝีเข็มของเด็กที่แทงลงไปเด็กน้อยก็ดิ้นคลุกคละตลอดเวลา คุณหมอใช้สมาธิอย่างยิ่งเพราะเด็กน้อยร้องตลอดเวลา ถึงแม้จะมีอ้อมกอดของแม่ประคับประคองกันอยู่ในห้อง จนเย็บเรียบร้อยเล่นเอาทั้งแม่และหมอแต่ละคนเหนื่อยกันไปเลย แต่ใช่ว่าหน้าที่ของคุณหมอหมดเพียงแค่นั้น
เสร็จแล้วคุณหมอส่งเข้าห้องผ่าตัดเล็กเพราะท่อน้ำตาของเด็กขาด ต้องมีการตัดต่อกันอย่างกะทันหัน ไปอย่างนั้นเด็กจะตาแห้ง และถ้าไม่รีบทำการต่อท่อครั้งนี้ โอกาสที่ท่อน้ำตาจะต่อติดกันก็ยากมาก ครั้งนี้ไม่มีเสียงร้องของหนูน้อยเพราะ คุณหมอต้องวางยาสลบ คุณหมอต้องทำงานงานแข่งกับเวลา และการเสียเลือดของเด็กจำนวนมาก โอกาสของการช็อค
ฝ่ายแม่เองเมื่ออกจากห้องผ่าตัดมาก็ได้แต่ชะเง้อมองลูกตลอดเวลา เพราะความกังวลว่าคุณหมอจะไม่รักษา ทั้งสองคนผัวเมียก็ได้แต่มองหน้ากัน เพราะการรักษาครั้งนี้ค่อนข้างแพง และไม่มีเงินในกระเป๋าเลย ความกังวลความเป็นห่วงลูกมีตลอดเวลา สุดท้ายคุณพ่อของเด็กเข้าไปคลุกเข่ายกมือไหว้คุณหมอสามคนที่อยู่ในห้องผ่าตัด อ้อนวอนคุณหมอในการรักษาลูก ไม่อย่างนั้นลูกน้อยได้ตายแน่นอน ในความเชื่อของพ่อแม่ พ่อยืนเฝ้าไม่ยอมห่างหน้าห้องผ่าตัด ซึ่งปกติไม่ให้ใครเข้าไปเด็ดขาด ฝ่ายพ่อก็ยืนทุรนทุรายตลอดเวลา
หน้าที่ของพยาบาลก็ต้องมาซักประวัติของเด็กว่าเกิดอะไรขึ้น และถามเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นใครจะเป็นคนจ่าย จ่ายอย่างไร เพราะราคาค่อนข้างสูงมาก
เกิดผู้หวังดีคือน้องสาวของพ่อเด็กที่มาเยี่ยมหลาน เป็นชาวพม่า มีสามีเป็นคนไทยมายืนยันกับพยาบาลว่าค่ารักษาพยาบาลแพงแค่ไหนก็จะมีจ่าย พร้อมเป็นคนเซ็นเอกสารในการรักษาพยาบาลของเด็กเองแทนพ่อกับแม่ ซึ่งพ่อกับแม่ก็นั่งกอดกันที่หน้าห้องผ่าตัด เพราะห่วงลูกอย่างมาก
พยาบาลก็ใจชื่นเป็นอย่างมาก ที่จะรักษาเด็กต่างด้าวอย่างเต็มที่ พร้อมไม่ต้องสร้างภาระให้กับโรงพยาบาล เพราะญาติของผู้ป่วยมีจ่าย
กว่าจะผ่าตัดเสร็จก็ใช้เวลากว่าสามชั่วโมง เมื่อเสร็จแล้วคุณหมอก็ส่งตัวเด็กที่เย็บแผลอย่างดีพร้อมการผ่าตัดที่ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ส่งเด็กเข้าตึกกุมารเวช เป็นตึกเด็กโดยเฉพาะให้อยู่เป็นห้องที่เป็นสัดส่วนกลัวการติดเชื้อ แม่เป็นคนเฝ้าดูแลลูกเป็นอย่างดี มียากิน การทำแผลดูเป็นอย่างดี เด็กก็สามารถที่เปิดแผลได้แล้ว พร้อมกับลูกตาไม่มีปัญหา เด็กจึงได้โรคตามที่คุณหมอตั้งคือ โรคท่อน้ำตาขาดดวงตาด้านซ้าย แต่ความกังวลเรื่องตา หมดไป พ่อกับแม่ก็ยิ้มได้เมื่อลูกน้อยที่รักสุดหัวใจได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
พยาบาลประจำตึก ก็ต้องทำหน้าที่ จึงได้เรียกคุณพ่อพร้อมกับยืนใบแจ้งหนี้ในการรักษาพยาบาล มาให้มีการชำระเงิน ในจำนวนกว่า 15,653 บาท ตั้งแต่วันที่ 23-25 ตุลาคม 2560 เท่านั้น ซึ่งค่าผ่าตัดจำนวนสูงมาก
พ่อเด็กก็ได้มีการติดต่อน้องสาวแท้ แท้ ที่รับปากจะช่วย หายวับไปกับตาโทรศัพท์ก็ไม่เคยรับสายเลย แม้แต่ครั้งเดียว แต่หลักฐานการยืนยันชัดเจนที่ต้องจ่าย พ่อเองก็ไม่มีเงินมากมายอย่างนี้ ความหวังดีของทุกคนแค่พูดเท่านั้น แต่ต่อจากนี้คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
พ่อเด็กพร้อมใบแจ้งหนี้ไปหา คุณโต้ง ที่จะเป็นที่พึ่งได้ แต่ทางคุณโต้งพร้อมภรรยา ได้มีการโทรศัพท์ไปตามหน่วยงานของรัฐและองค์กรเอกชนแถวปทุมธานี ทุกคนไม่มีการตอบรับเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตั้งองค์กรขึ้นมาทำไมกัน (ตามความคิดของที่คนที่อยากช่วยเหลือ)
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม เป็นอีกครั้งที่คุณโต้งและภรรยาที่อยากช่วยเท่านั้น เพราะคำว่าสงสาร ยิ่งเป็นคนต่างด้าวที่มาตกทุกข์ได้ยากที่ต่างบ้านต่างเมือง ลูกก็ยังนอนในโรงพยาบาลไม่มีเงินแล้วจะเป็นอย่างไร อยู่ในโรงพยาบาลนานก็ยิ่งกลัวการติดเชื้อ
คุณโต้งย้อนกลับไปหาครูมิ้นท์ ที่บ้านสร้างสรรค์อีกครั้ง พร้อมใบแจ้งหนี้ ครูมิ้นท์ก็อยากช่วยแต่ครูมิ้นท์ต้องดูแลเด็ก เด็ก จึงมีการโทรศัพท์หาครูจิ๋วอีกครั้ง เพื่อให้ช่วยดำเนินการว่าจะช่วยอย่างไร
สำหรับเช้านี้ (27 ตุลาคม 2560) ได้มีการนัดพบกับ นายโต้ง ซึ่งเขาจำครูได้แต่ครูเองจำเด็กรุ่นแรก ไม่คอยได้ มาพร้อมคำว่าครูครับผมอยากช่วย ผมสงสารพวกเขาครับ ทำงานไม่ค่อยได้เงิน ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มานี้ รายได้ก็ไม่มี ต้องหยิบยืมคนอื่นมาเป็นค่าใช้จ่ายก่อน เงินก็ไม่ค่อยมีกันอยู่แล้ว แล้วลูกต้องมาเกิดเหตุการณ์ จะให้ผมดิ่งดูดาย ผมก็ทำไม่ได้ ต้องมีสักแห่งซิที่ช่วยได้ นี่คือความตั้งใจของเด็กที่ทางมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ดูแลมาถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วสั้น ๆ ก็ตาม
โต้ง จึงพาครูไปพบเด็กพร้อมพ่อแม่ของเด็ก พอเห็นครอบครัวพร้อมเด็ก ตกใจในตัวเด็กที่อาการตายังไม่สามารถลืมได้อย่างเต็มตา พยาบาลบอกว่าต้องให้กลับมาพร้อมยืนค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรักษาพยาบาลครั้งนี้ เกือบสองหมื่น ครูเองก็ต้องตั้งสติเป็นอย่างมาก มากขนาดนี้ทางครูเองก็ไม่มีจ่ายหรอก อย่าหวังว่าพ่อกับแม่จะมี
ครูจิ๋วไล่โทรการประสานหาคุณหมอทุกแห่งที่ได้รู้จักว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง แต่ทุกคนติดภารกิจที่ต้องช่วยเหลือคนไข้ ต้องหันมาพึ่ง อาจารย์ปิ่นฤทัย เพราะมีลูกศิษย์เป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่โรงพยาบาลแน่นอน ได้ชื่อมาสองคน รีบโทรประสานงานทันที
เสียงน้องนักสังคมสงเคราะห์บอกเหมือนพยาบาลว่า ก็เขามีหนังสือยืนยันในการจ่าย ว่าจ่ายได้แล้วทำไมเป็นอย่างนี้ แล้วเขาติดต่อประสานงานมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กได้อย่างไร ถึงอย่างไรทางครอบครัวก็ต้องจ่ายบ้าง ถึงจะจ่ายไม่ได้ทั้งหมด ก็ต้องจ่าย เฮ้อแล้วครู
แล้วโดยปกติเคสที่เป็นผู้ป่วยต่างด้าวแบบนี้ทำได้เท่าไร ทางครูเองจะช่วยได้เท่าไร ฝ่ายพ่อแม่เด็กจะช่วยได้เท่าไร อย่างน้อยต้อง 50 เปอร์เซ็นต์ ครูเองก็ต้องบอกที่ต้องจ่ายครั้งนี้ ด้วยสองสาเหตุใหญ่ อยากเห็นความตั้งใจของลูกศิษย์ที่อยากช่วยให้ช่วยได้ เพราะนี้คือการที่ครูได้ทำให้พวกเขาเห็นตั้งแต่อยู่มากับครูทุกคน ช่วยได้แค่ไหนก็ช่วย ข้อที่สองเห็นเด็กแล้วสงสาร ตั้งแต่เกิดจากความเจ็บปวดครั้งนี้ แล้วหมาก็เกิดตายขึ้นมาแล้ว แล้วจะเอาหมาที่ตายไปแล้วไปขังคุกแทนหรือ ซึ่งงานนี้หาคนผิดไม่ได้เลย แล้วจะเริ่มอย่างไร
ครูจิ๋วเลือกที่จะหาเงินออกค่าใช้จ่ายทั้งของครู และฝ่ายครอบครัวจำนวนหนึ่ง ซึ่งไปถึงตามความต้องการของโรงพยาบาล ที่เหลือกว่าเกือบหมื่นสาม ทั้งหมดขอสงเคราะห์ให้กับเด็ก
ตัวอย่างนี้คือบทเรียนของการทำงานเหมือนกัน สอนครอบครัวของเคสถ้าคุณไม่มีก็ต้องบอกว่าไม่มีอย่างชัดเจน เพราะการเริ่มต้นด้วยความจริงใจ ทางคุณหมอจะได้หาแนวทางช่วยเหลือ แต่อย่าใช้วิธีการนี้กับโรงพยาบาล
ครูเองเข้าใจทั้งโรงพยาบาลและทาง พ่อแม่ของเด็ก เพราะทางพ่อแม่ของเด็กก็เพิ่งถูกปฏิเสธในการรักษาของลูกที่กำลังจะรอดหรือไม่
ตัวอย่างนี้คือการตั้งคำถามต่อ คนที่เคยรักหมาอย่างสุดหัวใจ เมื่อไม่รักแล้วทิ้งเกิดเหตุการณ์กับเด็ก แล้วหน่วยงานไหนรับผิดชอบ.......จะหาทางออกอย่างไรให้กับเด็กด้วย.....
คนที่ดูแลเด็กก็ต้องดูแลเด็กให้ดี พร้อมการทำเรื่องการซื้อหลักประกันสุขภาพ