ครอบครัวเร่ร่อน...เร่ร่อนพร้อมครอบครัว
นางสาวทองพูล บัวศรี
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
ในช่วงปีนี้ทางโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ได้รับเรื่องร้องเรื่องจำนวนมาก ทั้งกลุ่มเด็กเร่ร่อน เด็กขายพวงมาลัยตามสีแยกต่างๆ เด็กเร่ร่อนที่ฝังตัวอยู่ในร้านเกม ตลอดวันตลอดคืน ผู้สูงอายุที่มาขายสินค้าในกรุงเทพ คนพิการที่ถูกร้องว่าเป็นขอทาน แม่และเด็กเร่ร่อนต่างด้าวพาลูกออกมาขอทานแล้วถูกจับคดีค้ามนุษย์ คดียังไม่จบเป็นการละเมิดสิทธิอย่างมาก อีกเรื่องหนึ่งคือครอบครัวมาลูกออกมาเร่ร่อน หรือเร่ร่อนพร้อมครอบครัว ทำให้เด็กไม่ได้รับสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่เด็กควรได้รับ แต่พ่อหรือแม่ว่าสิ่งเหล่านี้คือความรักของแม่ที่ให้ลูก เป็นลูกต้องอยู่กับพ่อแม่และเลี้ยงดูด้วย ความรักที่นำมาแสวงหาประโยชน์กับเด็ก
ทางโครงการครูข้างถนน มีหลายกรณีที่เขาไปสร้างความไว้วางใจ และเพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไข ทั้งครอบครัวของเด็ก คนที่ปฏิเสธคือพ่อหรือแม่ของเด็กมากกว่า ดังตัวอย่างที่ทางโครงการได้ดำเนินการหาแนวทางช่วยเหลือ
กรณีศึกษาที่ 1 พ่อลูกสามคน
(1) ครอบครัว สามพ่อลูก ที่บางนา ได้รับแจ้งมาพลเมือง ที่ขับรถ ระหว่างขับรถ กรุงเทพ-พัทยา ว่ามีครอบครัวเร่ร่อน มากกว่า เดือนแล้ว เดิมเด็กจะวิ่งขอเงิน ช่วงระยะหลังพ่อได้ไปซื้อกังหันมาให้เด็กและพ่อและเด็กช่วยกันขายพ่อ ชื่อ นายชนะชัย (นามสมมุติ) มีลูก 2 คน (1) เด็กชายสมชาย (นามสมมุติ) อายุ ประมาณ 9 ปี เรียนที่โรงเรียนโพธิ์นิมิต เด็กไม่ได้เรียนตั้งแต่ปีที่แล้ว (รูปร่างหน้าตาของเด็กออกไปชาวบังคลาเทศ ) (2) เด็กชายรัตน์ (นามสมมุติ) อายุประมาณ 5 ปี เด็กควรที่จะได้เข้าเรียนหนังสือได้แล้ว แต่พ่อของเด็กก็พากับย้ายตลอด
(2)สภาพปัญหาของครอบครัวนี้ครอบครัวนี้จะมีพ่อกับลูก มีมอเตอร์ไซด์หนึ่งคัน ที่บรรทุกทุกอย่างที่นอน พร้อมอุปกรณ์ ตระเวนไปเรื่อยๆ แม่ของเด็กถูกรถบรรทุกชนเสียชีวิตมาประมาณปีกว่า ตั้งแต่แม่ของเด็กเสีย พ่อก็มาลูกตระเวน เด็กทั้งสองคน เข้าเกณฑ์ในการศึกษา แต่ในขณะนี้เด็กขาดเรียนมาตลอด พร้อมกับการเลี้ยงดูไม่เหมาะสม บางวันได้กินบ้างไม่ได้กิน ข้อมูลมาจากร้านค้าที่ขายช่วงเย็น
(3) สภาพของบิดาเด็ก ในขณะที่พูดคุยกับเจ้าหน้าที่โครงการครูข้างถนน พ่อจะมีอาการซึมเศร้า เมื่อต้องพูดคุยถึงภรรยา แม่ของเด็กทั้งสอง หรือการพูดถึงอนาคตของลูกก็เช่นกัน
(4)สถานที่อยู่อาศัยของพ่อและเด็ก จะอยู่บนถนน บางนา-ตราด (กม.16 ) หรือส่วนมากเรียกกันว่า บางโฉลง อยู่เลยปั้มน้ำมันบางจาก ซึ่งติดกันจะมีร้านสะดวกซื้อ ในช่วงเวลา ประมาณบ่ายสามเป็นต้นไปจะมีร้านค้าขายอาหารตามสั่งหน้าร้านสะดวกซื้อ เลยจะเป็นซอยมีบ้านเช่า หน้าปากซอยจะมีตู้โทรศัพท์ ปัจจุบันนี้เป็นที่เก็บที่นอนของสามพ่อลูก ทั้งครอบครัวก็จะอาศัยนอนหน้าปากซอยมีระเบียงร้านขายของอยู่
ทางโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
1.ได้ลงไปติดตามกรณีศึกษานี้ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 เวลา 16.00 น. คุยกับพ่อเด็กเรื่องการศึกษาของลูก พร้อมกับ ให้ส่งเด็กหรือไปดูบ้านสร้างสรรค์เด็ก ของมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก อยู่ที่คลองสาม เป็นบ้านเด็กชาย พร้อมมอบขนมกับนม และทิ้งเบอร์โทรศัพท์ ไว้ให้ จากการสังเกตสิ่งที่เห็นคือพ่อเด็กจะนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งซึ่งมองเห็นเด็กทั้งสองคนที่วิ่งตามรถที่ออกจากปั้มน้ำมัน ตอนที่พบเด็ก เด็กจะเอากังหันมาขายอันละ 20 บาท ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง ซึ่งอันตรายสำหรับเด็ก เมื่อพูดคุยการขายของจะได้ไม่แน่นอนแต่เงินที่คนทั่วไปให้จะพอซื้ออาหารให้ลูกกินทั้งสามมื้อแตกต่างกันไป แล้วแต่เงินที่จะหาได้ และจะมีร้านค้าที่ขายอาหารโต้รุ่งให้เด็กกินบ้างเมื่อเวลามาช่วยล้างจาน/ชาม หรือเก็บโต๊ะเก้าอี้ ทั้งสามคนก็จะนอนด้านหน้าของร้านขายวัสดุ เพราะมีกันสาดกั้นฝน ครอบครัวจะมีมุ้งที่นอนพร้อม
2.ได้ทิ้งเวลา หนึ่งสัปดาห์ เพื่อให้ผู้ปกครองที่รับปากว่าจะกลับไปประสานงานโรงเรียนที่ลูกคนโตเรียนอยู่ ลงเยี่ยมกรณีศึกษาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2559 เวลา 15.00-17.30 น. พูดคุยพร้อมซื้ออาหารกลางวันให้เด็กและพ่อด้วย แล้วนั่งสังเกตการณ์พฤติกรรมของครอบครัว ครั้งนี้พ่อมีอาการซึม บอกว่าเพราะไปรับอาหารแห้งมาจากบางแสน วิ่งมอเตอร์ไซด์ไปกันทั้งสามคน เอาอาหารแห้งมาขายด้วยเพื่อเป็นค่าน้ำมัน ขายดีครับแค่สองวันเองขายหมดเกลี้ยงเลยคะ แต่วันนี้ทั้งสามคนยังไม่ได้กินทั้งอาหารเช้าและอาหารกลางวันเลย เห็นจากอาการของเด็กซึ่งหิวมากกินนมที่เดี๋ยวสองกล่องติดต่อกันเลย จึงพากันไปซื้ออาหารกล่องจากร้านสะดวกซื้อ ให้คนละสองกล่อง แล้วนั่งอยู่ห่าง ห่าง เห็นได้ชัดว่าเพิ่งได้กินอาหารในวันนี้
3. เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2559 ได้ประสานงานกับบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งในขณะนั้นจะใช้ พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 26 (5) บังคับ ขู่เข็ญ ชักจูง ส่งเสริม ยินยอม หรือกระทำด้วยประการให้เด็กไปเป็นขอทานเด็กเร่ร่อน หรือใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการขอทานหรือการกระทำผิด หรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากเด็ก และมาตรา 26 (6) ใช้ จ้าง หรือวานเด็กให้ทำงานหรือกระทำการอันอาจเป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโต หรือขัดขวางต่อพัฒนาการของเด็ก ทั้งเจ้าหน้าที่ครูข้างถนนและเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ควรที่จะได้ลองใช้แนวปฏิบัติพระราชบัญญัติคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ.2557 ซึ่งไม่มีต้องมีการแยกครอบครัวของเด็ก ซึ่งพ่อเด็กอาจได้รับทุนประกอบอาชีพสนับสนุน หรือเงินสงเคราะห์ครอบครัวเพื่อไปเช่าบ้านแล้วหาที่อยู่ให้เป็นหลักแหล่ง แล้วสามารถดูแลลูกได้ด้วย จึงได้มีการประสานงานกับ ผู้อำนวยการสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งสมุทรปราการ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ลงไปดำเนินการ ปรากฏว่าครอบครัวของพ่อได้พาลูกหนี
4. เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2559 ได้ลงไปติดตามครอบครัวนี้ ชาวบ้านและร้านค้าบอกว่าพ่อของเด็กยังวนเวียนมากดู แต่ไม่เห็นเด็กมาด้วย เพราะข้าวของเครื่องใช้ ยังอยู่ในตู้โทรศัพท์อยู่
5.เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ได้ลงพื้นที่อีกครั้งพร้อมแลกเปลี่ยนการประชาชนบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อพร้อมกับร้านขายของที่เป็นชาวพม่า(ลูกจ้าง) ทุกคนเห็นพร้องด้วยกันว่า เด็กสองคนต้องได้รับการดูแล โดยเฉพาะเด็กอยู่ในวัยเรียน จะให้พ่อตระเวนพาลูกไปที่ต่างๆมันไม่ใช่ผลดีกับเด็ก เด็กต้องได้เรียนหนังสือ และมีที่อยู่ที่ถาวร พวกผมทั้งหลายจะช่วยส่งข่าวให้ครูเมื่อพ่อพาลูกกลับมาครับ (การทำงานกับครอบครัวเหล่านี้ อาสาสมัครที่เป็นหูเป็นตาสำคัญมาก) เพราะอาสาสมัครจะอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลา โอกาสที่จะพบ มีอยู่ตลอดเวลา
6.เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 อาสาสมัครได้ส่งข่าวว่าพ่อมาเก็บของ แต่ไม่เห็นลูกมาด้วย พ่อเด็กบอกว่าเอาลูกเข้าเรียนที่ศรีราชาแล้ว แต่ยังไม่ได้ย้ายโรงเรียน ครูเลยเอาตัวเล็กเอาเรียนด้วย ผมไปทำงานรับจ้างทั่วไป แต่ยังไม่รู้ว่าครอบครัวผมจะไปรอดได้แค่ไหน อย่างไรก็ลองดูก่อนไม่อย่างนั้น ครอบครัวผมอาจจะกลับมาที่นี้อีกครั้งเพราะต้องนี้มีที่หลบแดดแดดฝนและหากินสะดวก ครูจิ๋วลงพื้นที่แต่ไปไม่ทันพ่อของเด็กที่มาเก็บของบางส่วน แต่ข้าวของส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในตู้โทรศัพท์ ส่วนมากก็จะเสื้อผ้าและเครื่องนอนทั้งครอบครัว
กรณีที่ 2 แม่พาลูกมาเก็บขยะในช่วงกลางคืน
ทางโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ได้รับเรื่องร้องเรียน เมื่อ วันที่ 8 มิถุนายน 2559ว่ามีครอบครัวแม่พาเด็กออกมาเก็บขยะในช่วงกลางคืน โดยมีลูกทั้งหมด 4 คนด้วยกัน ผู้แจ้งบอกว่าเฝ้าสังเกตมาแล้วหลายครั้ง เห็นแม่ชอบใช้ความรุนแรงกับลูกทั้งสามคนที่เป็นผู้หญิง ถ้าไม่ได้ช่วยเก็บขยะ หรือเด็กเล่นบ้างเป็นครั้งคราว หิวหรือร้องไห้ ก็จะมีการตี หรือบางครั้งก็ใช้ ถ้อยคำที่รุนแรง ซึ่งจะมาเก็บขยะที่หน้าห้างบิ๊กซีสะพานควาย ผู้แจ้งคิดว่าเป็นครอบครัวเร่ร่อนน่าจะเป็นคนต่างชาติ จะมาในช่วง สามหรือสี่ทุ่มทุกวันทางโครงการครูข้างถนน ได้ลงไปดำเนินการ
(1) ทางโครงการครูข้างถนน ได้ลงไปพบ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2559 ในช่วงเวลา ตั้งแต่ สองทุ่มจนถึงสี่ทุ่ม ซึ่งในขณะนั้นได้มีการสอบถามยาม ร้านค้าที่ห้างบิ๊กซีสะพานควาย บอกว่ามีอยู่สองครอบครัว คือเป็นผู้ชายที่พาเมียมาเก็บขยะจะใช้รถสามล้อที่ขับมา ครอบครัวนี้จะเหลือแต่เหล็กหรือกระป๋องเป็นส่วนใหญ่ ส่วนครอบครัวที่ได้รับร้องร้อนจะมาดึกกว่านั้นจะเก็บทุกอย่างเช่นกระดาษ เศษอาหาร หรือขวดพลาสติก จะใช้วิธีการเดินมากกว่าใช้รถซาเล้ง
-ครอบครัวนี้เป็นคนจังหวัดสุรินทร์ มีพ่อทำงานก่อสร้าง แม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิต มีลูกทั้งหมด 4 คน โดยมีลูกสาวคนโต อายุ 12 ปี เคยเรียนหนังสือแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 แล้วไม่ได้กลับไปเรียนหนังสืออีกเลย (แม่เด็กยืนยันว่าต้องการให้ลูกเรียนต่อ กศน.แต่กว่าสองปีแล้วที่ยังเคลื่อนย้าย หอบหิ้วกันไปเรื่อย เรื่อย) ส่วนลูกคนที่สองเป็น ผู้ชายอายุ 9 ปี ยังไม่ได้เรียนหนังสือเลย ลูกคนนี้พ่อจะหวงมากไม่ยอมให้ออกมากับแม่ เด็กจะอยู่แต่ในบ้านพักของกรรมกรก่อสร้าง ฉันอยากให้ลูกได้เรียนหนังสือแต่พ่อของเด็กไม่ยอม ส่วนลูกคนที่สามจะออกมากลับแม่ และลูกคนนี้จะดื้อเพราะเด็กน้อยติดเล่นตลอดเวลา อยากวิ่งเล่นในห้างแต่จะอยู่ว่าไม่มีเงินที่จะซื้อข้าวหรือขนมก็ตาม แต่อยากอยู่ในห้างเพราะแอร์มันเย็น จึงโดนแม่ตีตลอด หรือบางครั้งก็นอนในขณะที่พี่คนโตเก็บขยะ คนทั่วไปจึงเห็นว่าเด็กคนที่สามนี้โดนตีตลอด ลูกคนที่สี่เพิ่งจะประมาณสามปี เป็นน้องเเล็กที่พ่อรักมาก แต่ก็ยอมให้ออกมากับแม่พร้อมพี่น้องอีกสองคนในช่วงกลางวันและกลางคืน
-วิถีของครอบครัวนางเหรียญ(นามสมมุติ) จะออกกันตั้งแต่เช้าจะเดินไปพร้อมกันทั้งสี่คน แม่ลูก โดยจะเดินออกไปเก็บเศษขยะ เศษกระดาษ เศษพลาสติก ซึ่งจะมีรถสามล้อขนาดเล็กที่ส่วนมากเอาไว้เข็นผักในตลาดแปรมาเป็นรถเก็บขยะของครอบครัวนี้ กว่าจะกลับมาถึงที่พักก็เที่ยงพอดี หรือบางส่วนก็บ่ายโมงกว่า จะกินข้าวต้มกันเป็นส่วนใหญ่ หรือบางครั้งก็ใช้มาม่าต้มใส่ผักที่เก็บมาเช่นยอดตำลึง ผักขม ผักปอนด์ หรือผักบุ้งแล้วแต่จะได้มา เพราะรายได้ที่เข้ามาในครอบครัวคือของพ่อคนเดียววันละประมาณ 250-300 บาทต่อวัน ต่อการมีงานทำ ส่วนรายได้ที่ได้จาก การเก็บขยะขายเป็นค่าอาหารของคนในครอบครัวบางวันก็พอบางวันก็ไม่พอ หลังจากนั้นประมาณหกโมงเย็นจะพาลูกสาวสามคนเดินตั้งพหลโยธิน 18 จนถึงสนามเป้า แล้วเดินย้อนกลับมาถึงห้างบิ๊กซีสะพานควายก็ประมาณสี่ ถึงห้าทุ่ม แล้วแต่ของที่จะเก็บจะมีมากหรือน้อย ถ้าได้มากก็จะใส่ถุงให้น้องช่วยแบก หรือบางครั้งก็จะมีคนให้ข้าวสารบ้าง อาหารบ้าง ผัก ผลไม้ ตลอดจนเสื้อผ้าที่ลูก ลูก ใส่ ก็จะเอาใส่ถุงดำไว้ให้หรือบางครั้งก็ใส่รถเข็นไว้ว่าเป็นเสื้อผ้าที่จะให้เด็ก
-ได้มีโอกาสคุยกับอาสาสมัครที่เป็นพ่อค้าผลไม้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับบิ๊กซี ซึ่งเป็นคนเตรียมผลไม้ที่ขายไม่หมดใส่ถุงเอาไว้ให้เด็ก ส่วนมากจะเป็นมะม่วง แตงโม สับปะรด องุ่นเป็นส่วนที่จะซื้อเผื่อมาให้เด็กคนเล็กแทนการกินนมกระป๋อง พ่อค้าบอกว่าเป็นครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่บ้านพักกรรมกรก่อสร้าง สามีเป็นยาม ส่วนแม่กับลูกสาวก็ตระเวนหาของเก่า ผมลงไปดูที่บ้านพักแล้ว สอง-สาม ครั้ง ส่วนมากไม่เคยพบเลย เพราะแม่จะออกหาเศษขยะกันทั้งวัน ได้แต่ฝากของไว้ให้ เพราะผมก็อยากรู้ความจริงเหมือนกัน และมีคำถามว่าทำไมไม่ให้ลูกเรียนหนังสือ พอเห็นครอบครัวก็เข้าใจมากขึ้น ฝ่ายเป็นพ่อดูเงียบมาก ส่วนมากแม่ก็จะพูดคำตอบคำเหมือนกัน ลูกคนกลางที่เป็นผู้หญิงพูดมากสุด คนพี่สุดที่อายุ 12 ปีไม่พูดถามก็เงียบ น้องตอบแทน น่าสงสารอยากให้ได้ไปโรงเรียน พี่คนโตเป็นคนทำงานทั้งหมดในบ้าน ดูแลน้อง น้อง แต่ลูกชายคนที่สองไม่ค่อยฟังใครชอบดื้อ ออกไปเดินเที่ยวกลางคืน บางครั้งก็ไม่กลับบ้าน เพราะเคยเจอที่ตลาดสุทธิสารให้นั่งรถกลับมาด้วย เด็กบอกว่ากลับไม่ถูก
-โครงการครูข้างถนน ได้ลงไปพื้นที่สะพานควายอีก 5 ครั้ง แต่ไม่พบครอบครัวนี้ จึงได้ตามไปที่ไซด์งานก่อสร้างพหลโยธิน 18 งานเกือบเสร็จแล้ว คนงานก็ย้ายไปที่ใหม่อยู่ตลาดบางแค ครอบครัวนี้ย้ายไปก่อนแล้วเพราะพ่อของเด็กต้องไปเฝ้าของ ทางโครงการครูข้างถนนจึงต้องวางแผนเพื่อจะตามเด็กอีกครั้ง
กรณีที่ 3 ครอบครัวนางเฉย (นามสมมุติ)
ทางโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ได้รับการประสานงานว่ามีเด็กชาย 2 คนที่ ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสวนพลู และองค์กรด้านผู้หญิงที่เข้าไปทำงานในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ว่ามีสถานีตำรวจ แห่งหนึ่งประสานงานส่งต่อไปยังสถานสงเคราะห์เด็ก ซึ่งได้จับครอบครัวหนึ่งมีลูกสองคน และกำลังคลอดลูกอีกหนึ่งคน ต้องการให้ทางมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กรับตัวเด็กออกมาดูแล เพื่อต้องการให้เด็กได้เรียนหนังสือ แม่คลอดลูกได้ 1 วัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งเด็กอ่อนเข้าสถานสงเคราะห์ ส่งแม่ไปยังสำนักตรวจคนเข้าเมืองสวนพลู แม่บอกว่าแยกกับลูกที่เพิ่งคลอดมากว่า ยี่สิบวันแล้ว สงสารลูกและลูกเองก็ไม่ได้กินนมแม่เลย เห็นหน้ายังไม่ได้เต็มตาเลย วันที่เขาแยกแม่แยกลูก
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2558 ได้รับการประสานงานที่จะไปเด็กชายสองคน เป็นเด็กชาวเวียดนาม แม่เป็นเวียดนามมาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่อายุ 5 ปี ปัจจุบันนี้แต่อายุ 27 ปี มีลูกทั้งหมด 5 คน ไม่มีเอกสารใดๆใดเลย ถูกจับปีหนึ่งประมาณ 4-5 ครั้ง แต่ครั้งก็อยู่ใน สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสวนพลู ครั้ง เดือนถึงสองเดือน เด็กคนโตอายุ 9 ปี ไม่เคยได้เรียนหนังสือเลย อยากให้องค์กรช่วยรับไปดูแลให้หน่อย เด็กมาอยู่ที่มูลนิธิฯได้สองวัน ได้มีการประสานส่งกลับพร้อมลูกคนเล็ก
ในวันที่ 29 ธันวาคม 2559 ได้ลงไปเยี่ยมครอบครัวของนางเม้ง(นามสมมุติ) แม่กับเด็กยังไม่ได้กลับ จึงได้พบยาย และพ่อของเด็ก ซึ่งอายุอยู่ที่ตึกร้างบริเวณคลองตัน สภาพที่พักไม่เหมาะสมเป็นที่อยู่อาศัย แต่ครอบครัวนี้ก็อยู่มากกว่า 10ปีแล้ว เสียค่าน้ำค่าไฟ ที่ต่อกันมาจากตึกด้านหน้า ยังมีเด็กที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพอีกสองคนบอกว่าเป็นหลานสาว ซึ่งยายเป็นคนดูแล การใช้วิถีของครอบครัวพ่อของเด็กประเมินครั้งแรก มีปัญหาเรื่องไอคิวต่ำ แต่มีอาชีพขัดรองเท้าที่ซอยคาวบอย จะเริ่มงานตั้งแต่สี่ทุ่มกลับมาประมาณตีห้าทุกคืน ได้คืนละประมาณ 300-500 บาท เป็นบางคืน ส่วนแม่กับลูกถ้าวันไหนพ่อหาไม่ได้ก็จะพากันออกไปขอทานบ้าง รับจ้างทำงานที่ตลาดพระโขนงในช่วงเช้ามืดบ้าง ตึกร้างที่อยู่อาศัยอยู่นั้น จะมีป้าดูแลอยู่ ลีคนต่างด้าวที่เป็นชาวอินเดีย ปากีสถาน ชาวพม่า อยู่กันหลายครอบครัว อยู่กันมานานแล้ว กลุ่มนี้จะออกไปขายดอกไม้ในช่วงกลางคืน
ทางโครงการครูข้างถนน ได้ประสานงานกับสหทัยมูลนิธิ เพราะเป็นองค์กรที่อยู่ตรงข้ามกับตึกร้างนี้ แต่ทางนักสังคมสงเคราะห์ลงไปแล้วยังไม่ได้พบเคสที่เป็นแม่เด็ก เพราะหลังจากที่ถูกปล่อยตัวมา พ่อกับเด็กก็ถูกจับที่ตลาดพระโขนงอีก แล้วทั้งพ่อและเด็กถูกส่งเข้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่สวนพลู พร้อมกับครอบครัวของเด็กก็ย้ายหายไปจากตึกร้าง
ทางโครงการครูข้างถนน ได้ลงพื้นที่อีกสามหลัง ก็ไม่พบครอบครัวนี้ ไม่ทราบว่าย้ายไปไหน ได้ลงพื้นที่ซอยคาวบอยสามครั้งในช่วงดึกก็ไม่พบพ่อของเด็ก ได้มีการสอบถามคนดูแล ก็บอกว่าตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2559 ที่พ่อเด็กถูกจับแม่กับยายพาลูกสองคนพร้อมกับหลานสองคน หายไปจากตึกร้างนี้ แต่ข้าวของก็ยังอยู่
จากตัวอย่างทั้งสามครอบครัว ที่ทางโครงการครูข้างถนน ลงไปทำงานด้วย ยังไม่ได้รับความไว้ว่างใจ จึงพาลูกหนี เป็นการทำงานที่ต้องติดตาม และการเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด เพราะครอบครัวเหล่านี้ยังมีความหวาดระแวง และเป็นความรักของพ่อแม่ที่ไม่ต้องการให้ใครมาพรากลูกของเขาไป จึงต้องมีการทบทวนการทำงานตลอดจนท่าทีเวลาที่คุยกับเคส แต่เป็นครอบครัวที่ต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง และให้ได้รับสวัสดิการ ไม่อย่างนั้นเด็กทั้งหมดก็ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษา การรักษาพยาบาล การมีเอกสารสถานะ ตลอดจนการพัฒนาทักษะชีวิตด้านอื่นๆ
ในขณะนี้ทางโครงการครูข้างถนน จะพบครอบครัวแบบนี้เป็นจำนวนมาก ที่ไม่ต้องการให้หน่วยงานไหนมายุ่งกับความเป็นครอบครัวของเขา ทุกครั้งจะบอกว่าเขาเลี้ยงดูได้ ลูกของเขาเขาเลี้ยงได้ ซึ่งต้องให้เวลากับทั้งพ่อหรือแม่ หรือยาย ซึ่งก็จะต้องทำความเข้าใจ เป็นอีกกลุ่มเป้าหนึ่งในการทำงานต้องใส่ใจ และเฝ้าดูการเคลื่อนไหวต่อไป