เด็กเร่ร่อน.. ใช้ชีวิตในร้านเกม
ทองพูล บัวศรี
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
ด้วยทางโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ได้รับเรื่องร้องเรียนและพบได้กับกลุ่มเด็กและเยาวชนใช้ชีวิตอยู่ในร้านเกม ดังนี้
(1) เมื่อปีที่แล้ว ได้พบกับหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่มาขอเงินที่หมอชิต ชื่อน้องชิต (นามสมมุติ) มีคนให้ข้อมูลมากมายกับพฤติกรรมของเด็กคนนี้ตั้งแต่การนำเงินที่ได้ไปเล่นเกมอยู่กินในร้านเกม ตลอดจนการนำเงินที่ได้ไปกินอาหารหรูหรา ครูเองก็ลงสืบเพราะเด็กให้ข้อมูลว่ามีร้านเกมที่เปิดที่ตลาดแฮปปี้แลนด์จำนวนกว่าร้อยร้าน แต่มีอยู่ห้าร้าน ที่ให้เด็กเล่นทั้งวันและคืน ซึ่งถามครูเองที่ลงพื้นที่ ประจำกับเด็กเร่ร่อน ก็รู้ว่าชีวิตของเด็กเร่ร่อนเมื่อได้เงินจะหมดไปกับร้านเกม หมดไปกับกาว หรือมีบ้างที่หมดไปกับการกิน ซึ่งเป็นอาหารพอเลี้ยงร่างกายของตนเองเท่านั้น
ในช่วงนั้นก็เฝ้าสืบหาร้านเกม เฝ้าว่าทำไมเด็กวัยรุ่นถึงต้องอยู่ในร้านเกมทั้งวันและคืน เด็กหนุ่มบอกกับครูจิ๋วว่า ชีวิตของผมเรียนแค่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียน เพราะทนเรื่องการล้อชื่อพ่อกับแม่ไม่ไหว พร้อมกับอาชีพของพ่อที่ทำงานช่วยเหลือวัด ทำให้ผมใช้อารมณ์กับเพื่อน ต่อยกับเพื่อนทีไรก็แพ้ กลับบ้านมาพ่อก็ตีซ้ำว่าเป็นคนไม่สู้คน ผมทั้งเรียนช้า อ่านก็ไม่ออก เขียนไม่ได้เลย แค่ชื่อตัวเองเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่อยากไปเลย ไปเรียนทีไรก็เจอครูบ่น เพื่อนก็เข้าไม่ได้ ผมก็เลยเข้าร้านเกมแทน แม้แต่สารวัตรนักเรียนจะส่งผมกลับเข้าเรียนก็เรียนไม่รู้เลย อยากอยู่กับหน้าคอม เกมออนไลน์ผมไม่รู้จักหรอกช่วงแรก ขอเงินพ่อ พ่อก็ให้แค่ไปเรียน ซึ่งพ่อไม่รู้ว่าผมไม่เข้าเรียนมาเป็นปีแล้ว จนวันหนึ่งพ่อไปรับที่โรงเรียนคอยจนมืดก็ไม่เห็นผม จนครูประจำชั้นเดินมาพูดคุยกับพ่อว่าลูกไม่ได้มาเรียนเป็นปี พ่อโกรธผมมากกลับบ้านแบบไม่พูดไม่จากับใครเลย แม่เป็นแม่เลี้ยงผมแต่รักผมมากว่าอย่างเพิ่งเข้าบ้านไปอยู่ไหนก่อน ให้พ่ออารมณ์ดีแล้วค่อยเข้ามาบ้าน
ตั้งแต่วันนั้นมาผมจึงสิงสถิตอยู่กับร้านเกม วิ่งเข้า-วิ่งออก ร้านเกมอยู่ประมาณ ห้าร้าน ที่ตลาดบางกะปิ บางวันไม่มีเงินผมก็ไปนั่งที่เดอะมอล์ บอกว่าผมถูกไล่ออกจากบ้านมา ไม่มีเงินอาหาร การหาเงินมันง่ายมากในการสร้างชื่อเรื่องด้วยความสงสาร ผมอยู่บ้านเกมเป็นปี จนกลายเป็นขาประจำของร้านเกม และเริ่มรู้ว่าจะหาเงินอย่างไร ผมก็เริ่มรู้จักในการหาเงินจากเกม เช่น ผมมีจำนวน point ในเกมมาก ผมก็จะขาย point เหล่านี้ใครอยากได้ก็โอนเงินเข้าบัญชี ผมก็โอน point ให้ หรือใครอยากได้ เหรียญ อยากได้มงกุฎ ผมขายหมด แต่ผมต้องเล่นเกมจนได้รางวัล เกมทุกเกมมีรางวัลหมด ผมต้องเล่นชนะอย่างเดียวถึงจะมีรางวัลตามที่กติกากำหนด เวลาทั้งวันและคืนจึงหมดไปกับการล่ารางวัลในเกม บางวันเล่นจนลืมกินข้าวว่าอีกโมงอีกยาม
ผมมีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งชื่อ ชาย ที่เล่นเกมด้วยกันเพราะพ่อของน้องติดคุก แม่มีสามีใหม่ เขาไม่สนใจ ใช้ชีวิตอยู่ที่ ตลาดบางกะปิ มาเจอกันในร้านเกม เล่นเกมกันจนเป็นพี่น้อง ใครมีเงินก็แบ่งกัน มีอาหารก็แบ่งกัน น้องชาย ชอบเล่นเกมที่ใช้ปืนยิงอย่างเดียว ไม่สนใจเรื่องรางวัล แต่ผมชอบเกมที่เป็นรางวัลเท่านั้น น้องชาย เล่นเกมกับผมเกือบสองปี ที่เราใช้ชีวิตด้วยกัน แต่ผมอยู่กับร้านเกมมา 3 ปีแล้ว แล้ววันหนึ่งน้องชายนั่งอยู่แล้วช็อกที่ร้านเกม แบบไม่รู้สึกตัวเงียบไปเลย ผมตกใจมากวิ่งไปตามแม่ของเขาที่ตลาด แม่อุ้มไปหาหมอที่โรงพยาบาลสินแพทย์ อยู่ได้สองวันน้องชายก็ตาย หมอระบุว่าเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองแตก รักษาไม่ได้ แม่ก็ไม่ได้เอาความผิดกับร้านเกม ร้านเกมก็ยังเปิดต่ออยู่ เจ้าของบอกว่าเด็กมีอาการเหล่านี้บ่อย แต่เจ้าของร้านเกมก็จะให้เด็กกลับบ้าน เจ้าของบอกว่าไม่เกี่ยวกับร้านเพราะเป็นความรับผิดชอบของเด็กเอง ผมแค่ให้เด็กเล่นตามเวลาที่กำหนด มีเงินมาให้ผม ทุกอย่างก็จบ ถึงเวลาผมก็ไล่กลับบ้าน เด็กเหล่านั้นจะมีครอบครัวหรือไม่มีที่นอนไม่เกี่ยวกับร้าน ผมเองก็กลัวเหมือนกัน แต่ในใจก็ยังกลัวพ่ออยู่
แล้ววันหนึ่งในปี 2555 พ่อผมป่วยมาก แม่เลี้ยงก็อยากให้ผมกลับบ้านไปหาพ่อ ผมจึงกลับไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล วันนั้นพ่อคุยกับผมว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในร้านเกมแบบนี้ได้อย่างไร ทำตัวเหมือนคนเร่ร่อนจรจัด ไม่มีครอบครัว ให้หันกับไปเรียนการศึกษานอกระบบเสีย เรียนเสาร์-อาทิตย์ ก็ได้ แม่เลี้ยงจึงเล่าให้ฟังว่าหลังห้าโมงเย็นพ่อจะขับซาเล้ง ไปแอบดูลูกที่ร้านเกมเกือบทุกวัน เฝ้ามองแบบนี้มาสามปีกว่าแล้ว รู้กระทั่งว่าไปขอเงินเข้ามาเล่นเกม แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปเตือนหรือต่อวาต่อขานแต่อย่างไร เพราะลูกหาเงินเองไม่ได้มาขอเงินครอบครัว แต่เป็นห่วงอนาคตลูกที่ต้องใช้เวลาเร่ร่อนไปเรื่อยๆ ขอเงินเขาแต่ไม่มีศักดิ์ศรี
ผมก็เริ่มเข้าบ้าน ช่วงแรกๆ ก็เป็นไปตามที่พ่อขอร้อง ได้ไปสมัครเรียนหนังสือ พบเพื่อนอีกกลุ่มที่ไปเรียนด้วยกัน ในช่วงวันจันทร์-วันศุกร์ เป็นเวลาว่างไม่รู้จะทำอะไรก็นัดกลุ่มเพื่อนที่เรียน กศน.ด้วยกันไปเล่นที่เกมที่ร้าน มีเพื่อนคนหนึ่งที่เขาเดินยาด้วยและเสพด้วย ก็เริ่มเอาของมาปล่อยให้เด็กวัยรุ่นที่เล่นเกม กว่าเป็น 100 คน จนวันหนึ่งตำรวจมีการสืบจนพบว่ามาเด็กคนไหนปล่อยยา แต่วันนั้นพบโชคดี ที่อยู่กับพ่อมานอนที่บ้าน แล้วยังไม่ตื่น ผมจึงไม่ถูกตำรวจจับไป เพื่อนกลุ่มนั้นก็แตกกันไป เรื่องเรียนของผมก็ไม่ได้ไปเรียนต่อ
ผมก็จะเข้า-ออก ร้านเกมอยู่อีกสามปีกว่า แต่ตอนนี้ก็แค่เล่นสนุก ไม่จริงจังเท่าเมื่อก่อน แต่บอกได้เลยนะครับ มันช่วยให้ผมมีความรู้สึกกว่าชีวิตผมไม่ได้แพ้อย่างเดียว อย่างน้อยผมก็ชนะในเกมคอมพิวเตอร์ คนอื่นต้องมาซื้อของรางวัลจากผม นี้คือความภูมิใจของผมครับ แต่ข้อเสียเยอะไปหมด ตั้งแต่การใช้เวลาเสียไปกว่า 6 ปี ที่เสียไป สุขภาพผมปวดหลังอย่างมากเพราะนั่งหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์มาตลอด สายตาผมสั้นมากตัดแว่นตาและเปลี่ยนตลอดมีบางครั้งที่ปวดหัวด้วย สมาธิของผมไม่ดีเท่าที่ควร ความคิดสับสนตลอดเวลา พฤติกรรมผมก้าวร้าวกว่าเดิม ชอบใช้กำลังในการตัดสินจึง
ส่งผลกระทบกับเพื่อนที่ทำงาน ผมเปลี่ยนงานบ่อยมากครับ
(2) เมื่อปีนี้ปลายเดือนมีนาคม 2559 มีเรื่องร้องเรียนมายังโครงการครูข้างถนน ว่า เด็กชายนัฐ (นามสมมุติ) อายุ 9 ปีออกมาเร่ร่อนในชีวิตนอนบนท้องถนน ที่แยกวังหิน รับเรื่องร้องเรียน 30 มีนาคม 2559 เคสนี้เป็นการโพสบนโซเซียสกันอย่างมากมาย ชีวิตของเด็กเช้าขึ้นมาก็ออกมาขอทานตามสี่แยกที่วังหินโดยการเคาะกระจก หรือบุคคลที่เดินผ่านไปมา ตั้งแต่แปดโมงเช้าเป็นต้นไปจนถึงประมาณสี่ทุ่มในจะนั่งเล่นเกมที่ร้านเกม ซึ่งที่แยกวังหินมีร้านเกมทั้งหมดจำนวน 3 ร้านด้วยกัน เด็กจะคลุกอยู่ร้านเกม โดยใช้เงินที่ขอทานมาได้มาเป็นค่าเช่าชั่วโมงในการเล่น ชั่วโมงละ 10 บาท เมื่อเงินหมดเด็กชายนัฐ ก็จะวิ่งไปที่สี่แยกวังหิน แล้วเลือกที่ผู้หญิงขับเคาะกระจกขอเงิน ซึ่งบางคนก็สงสารก็จะให้มา แต่เด็กก็จะเอาเงินมาเล่นเกม บางครั้งไม่มีเงินเด็กก็จะขอนอนที่ร้านเกมเป็นพื้นระหว่างทางเดิน เมื่อมีคนเล่นเกมไม่ครบจำนวนที่จ่ายชั่วโมงไป เด็กก็จะเล่นต่อจนครบชั่วโมง หรือบางครั้งก็ขอให้เด็กคนอื่นจ่ายค่าชั่วโมงให้ เมื่อร้านเกมปิดลง เด็กชายนัฐ ก็จะออกไปนอนที่ข้างร้านสะดวกซื้อ หรือตามทางเดินระหว่างถนน จนถึงเช้า เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะเริ่มการขอทาน อย่างนี้เป็นเวลากว่า 20 วัน ซึ่งในปัจจุบันนี้ สำหรับ เด็กชายนัฐ นี้ได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพ เรียบร้อย
(3) ได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวนหลายเรื่อง ตั้งแต่เด็กเร่ร่อนที่ชุมชนกีบหมู ว่ามีเด็กเร่ร่อนสามคน อยู่ในช่วงอายุ 13-15 ปี ใช้ชีวิตเร่ร่อนขอทานในช่วงกลางคืน เมื่อครูข้างถนนได้ลงไปทำงานด้วยกับพบเด็กเร่ร่อนทั้งหมดแปดคน เด็กทั้ง 8 คน มีเด็กชายไผ่(นามสมมุติ) ในขณะนี้อยู่ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกรุงเทพ ทำความผิดเพราะลักขโมย เด็กชายด่อม ครอบครัวได้นำกลับไปอยู่ต่างจังหวัด และครอบครัวได้ดูแลอย่างใกล้ชิด เด็กชายชาตรี แซ่กิม ในขณะนี้ มาอยู่ที่บ้านสร้างสรรค์เด็ก เพราะป่วยเนื่องจากถูกสุนัขกัด ต้องรักษาตัว ในขณะยังเหลืออีก 5 คน ด้วยกัน คือเด็กชายหนึ่ง เด็กชายแบงค์(ชาวกัมพูชา) เด็กชายไนท์ เด็กชายแม๊ก (ตอนนี้หลีกตัวไปอยู่ที่เดอะมอลบางกะปิ) เด็กชายเจน(เพิ่งมาออกมาเจอกับกลุ่มนี้) ในช่วงกลางคืนจะเดินออกมาขอทานนักท่องเที่ยวโดยเดินมาจากร้านเกม อยู่ตรงข้ามกับ ซอยสุเหร่าคลองหนึ่งซอย 7 เป็นตึกแถวสองคูหา มีสามชั้น ส่วนมากเด็กจะหมกตัวอยู่ที่ชั้นล่างของร้านเกม ร้านเกมในชุมชนกีบหมูมีจำนวนทั้งสิ้นจำนวน 3 ร้าน และเป็นปัญหาอย่างมากในชุมชน เป็นที่ชุมชุนของเด็กวัยรุ่น บางครั้งก็ทะเลาะกันระหว่างกลุ่ม ซึ่งแยกออกเป็นกลุ่มเด็กที่อยู่แบบดั่งเดิม อีกกลุ่มเพิ่งอพยพเข้ามาอยู่ แต่ส่วนมากจะทะเลาะกันในเรื่องการเล่นเกม ในขณะนี้เด็กชายแบงค์เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะทุกคนในชุมชนเห็นว่าเด็กชายแบงค์ โอกาสของการเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมีสูงมาก เพราะในขณะนี้ไม่มีครอบครัว และเด็กชายแบงค์เองก็เริ่มมีพฤติกรรมขอกาสูบบุหรี่ กินเหล้า ซึ่งเด็กจะเล่นเกมรุนแรงบางครั้งก็ก้าวร้าว จนบางครั้งเจ้าของร้านเกมเก็บเด็กไว้บนชั้นสาม ซึ่งเด็กคนอื่นไม่มีโอกาสขึ้นไปว่าชั้นสามเป็นชั้นพิเศษของเด็ก วีไอพี เป็นการประเมินว่าเด็กชายแบงค์น่าที่จะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับร้านเกมหรือเด็กที่มาเล่นเกมด้วยกัน ด้วยร่างกายที่ผอมแกร่งอย่างมาก สายตาเศร้าซึมตลอด คนในชุมชนเห็นว่าร้านเกมเป็นที่มั่วสุมของเด็กวัยรุ่นส่งผลเสียหาต่อชุมชน
(4) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ได้รับ จากพลเมือง ว่ามีเด็กสามคนออกมาเร่ร่อนขอเงิน ที่แยกวังหิน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2559 โดยเด็กคุณอ๊อฟ เป็นผู้แจ้ง ว่าพบเด็กเร่ร่อน อายุ 10-14 ปี จำนวนสามคน เร่ร่อนโดยการใช้ชีวิตอยู่แถวเสนานิคม-วังหิน เด็กมีพฤติกรรมขอเงินโดยการเดินเคาะกระจกรถที่ติดสี่แยกวังหิน และคนที่เดินผ่านไป-ผ่านมา เพราะมีผู้คนพลุกพล่าน และบริเวณนั้นจะมีตลาดขายส่ง และตลาดกลางคืน มีห้างโลตัส ห้างบิ๊กซี และร้านสะดวกซื้อ ผู้แจ้งให้ข้อมูลว่า ทำงานอยู่บริเวณสี่แยกวังหิน พบเด็กทั้งสามคนนี้บ่อยมาก เมื่อเด็กขอเงินได้ จะพากันไปเล่นเกมในช่วงกลางวัน ตั้งแต่ร้านเปิด จนถึงประมาณสี่-ห้าทุ่มทุกวัน คุณอ๊อฟเคยเรียกมาเตือนหลายครั้งในเรื่องการขอเงิน แต่ก็ยังพบพฤติกรรมแบบเดิม ส่วนมากเด็กจะวิ่งเล่นร้านเกมสามร้าน เพราะต้องแยกวังหิน มีร้านเกมจำนวน 3 ร้าน เป็นที่มั่วสุมของเด็กนักเรียน หรือกลุ่มเด็กเร่ร่อน
ในช่วงกลางคืนเด็กทั้งสามคนจะนอนที่หน้าบิ๊กซี หรือหน้าร้านสะดวกซื้อ แล้วพอที่จะหลบฝนได้ หรือบางครั้งก็นอนที่ข้างป้อมยามตำรวจ ซึ่งมีร้านเปิดขึ้นมาใหม่
สิ่งที่ทางโครงการครูข้างถนนดำเนินการ
1.ได้มีการโทรประสานงานไปยังผู้แจ้ง ชื่อ คุณอ๊อฟ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2559 คุยรายละเอียด เกี่ยวกับเด็กทั้งสามคน เด็กออกมาเร่ร่อนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2559 เด็กไม่ยอมไปเรียน เด็กใช้ชีวิตของเงินที่แยกวังหิน และในช่วงกลางวันเด็กอยู่ในร้านเกมตลอด คุยกันหลายครั้งแล้ว เด็กก็ยังทำพฤติกรรมเดิมอยู่
2.โทรประสานอีกครั้งเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2559 ว่ายังพบอยู่อีกหรือเปล่า ซึ่งทางผู้แจ้งบอกว่าเด็กยังมาอยู่เป็นประจำ และครั้งนี้เสื้อผ้าของเด็กสกปรกมาก และเริ่มไม่กลับบ้านอย่างถาวรแล้วประมาณ สามอาทิตย์ จึงขอให้ช่วยส่งรูปเด็กมาให้ก่อน
3.วันที่ 28 กรกฎาคม 2559 ผู้แจ้งได้ส่งไลน์มาให้ในขณะที่เด็กเล่นเกมอยู่ในร้านเกม GAME ONLINE ซึ่งในรูปเห็นเพียงแค่เด็กสองคน ครูจิ๋วจึงลงพื้นที่ไปเฝ้าในการทำกิจกรรมของเด็ก เด็กจะเข้าร้านเกมตั้งแต่ร้านเปิดประมาณ แปดโมงเช้า เด็กทั้งสามคนก็อยู่ในร้านตลอดเวลา จะออกเฉพาะช่วง ที่ไปซื้ออาหารหรือบางครั้งเงินหมดก็จะวิ่งไปเคาะกระจกตามสี่แยก ซึ่งประกอบไปด้วย แยกวังหิน แยกลาดปลาเค้า แยกวังหินลาดพร้าว และแยกไปเสนานิคม คนที่เปิดร้านค้าไม่ว่าจะเป็นร้านสปา ร้านอาหาร ร้านอุปกรณ์เครื่อง ทุกคนจะกลัวเด็กทั้งสามคนมาก
เมื่อเวลา 17.30 น. ครูจิ๋วได้เข้าไปพูดคุยกับเจ้าของร้านเกม ซึ่งทางเจ้าของกลัวมากเพราะเพิ่งเปิดร้านเกมและเปิดชื่อใหม่ยังไม่ถึงสามอาทิตย์ โดยสั่งปิดไปแล้วสองครั้งในช่วงสามเดือนนี้ ด้วยเหตุที่ปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี เข้ามาเล่นจนดึกประมาณเที่ยงคืน จึงมีหน่วยงานทางสถานีตำรวจเข้ามาค้นและสั่งปิดไปชั่วคราว
ได้บอกกับทางเจ้าของร้านเกมว่า ของคุยกับเด็กทั้งสามคนด้วย เหตุมีผู้แจ้งว่าเด็กทั้งสามคน ออกมาเร่ร่อน และขอทานสร้างความเดือดร้อนกับผู้เดินผ่านไป-ผ่านมา และกลุ่มผู้หญิงที่ขับรถขณะที่เด็กออกไปขอเงินตามสี่แยก
เด็กทั้งสามคน อยู่ในร้านเกมช่วงเฉพาะที่เฝ้าดูกว่า 10 ชั่วโมง ซึ่งเด็กไม่สนใจที่จะตอบคำถามหรือพูดคุย ไม่ให้ความร่วมมือในการสอบถามถึงครอบครัว บอกเพียง ชื่อเด็กเท่านั้น เด็กทั้งสามคน บอกเพียงว่าชื่อเล่น และชื่อโรงเรียนที่ไม่เป็นจริง เพราะทางครูข้างถนน ได้ลงไปดำเนินการลงไปประสานงานกับโรงเรียนที่เด็กบอก
จากการพูดคุยกับเด็ก เด็กไม่ต้องการคุย เด็กทั้งสามสนใจแต่การเล่นเกมอย่างเดียว แต่มีบุคคลที่อยู่ในร้านเกมที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีลุงมาตามหลายครั้งแล้วแต่เด็กไม่ยอมกลับบ้าน และกลับไปเรียนหนังสือ
จากการประเมินด้วยสายตา เด็กทั้งสามคนมีแผลตามตัวเต็มไปหมด เกิดจากการเกา และมีกลิ่นตัวซึ่งไม่ได้อาบน้ำมา พร้อมกับเสื้อผ้าก็สกปรกมาก
เด็กเร่ร่อนกับร้านเกม
1. เป็นร้านที่มีแอร์เย็น และเกมจากออนไลน์ทำให้เด็กเกิดความสนุกสนาน และสิ่งที่สำคัญ เด็กเร่ร่อนบอกว่า ชีวิตของผม มันแพ้มาตลอด ตั้งแต่เรื่องครอบครัว ผมไม่ใช่คนสำคัญของครอบครัว เรียนหนังสือก็ไม่เก่ง ไม่มีใครต้องการผมในครอบครัว ผมขอแค่ชนะบ้าง หรือเป็นแค่ชนะในเกมก็พอใจแล้ว เวลาที่ผมใช้ปืนในเกมยิ่งคู่ต่อสู้ ผมนึกว่าผมได้ยิงพ่อเลี้ยงผมด่า ผมจะยิงแบบไม่ยั้งมือเลยครับ
2. ร้านเกมเสมือนบ้านหลังที่สอง เพราะบางครั้งผมก็เข้ามาซื้อชั่วโมง เพื่อนอนหลับ เพราะจะมีความปลอดภัย มีเพื่อนอยู่ด้วยรู้สึกว่าไม่เหงา
3. ร้านเกมมีอาหารในราคาที่พวกผมพอหากินได้ครับ มีทุกอย่าง บางครั้งก็ใช้วิธีสั่ง หรือบางครั้งพวกผมไม่มีเงิน ก็ขอกินก่อน เมื่อมีเงินเมื่อไรก็ค่อยคืน
สิ่งที่เด็กเร่ร่อนได้บอกเล่าถึงร้านเกม คือร้านที่เขาพึ่งพาได้ จึงเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เด็กเร่ร่อนเหล่านี้ได้สิงสถิติหมกตัวอยู่ และกลายเป็นว่าเด็กเร่ร่อนชอบร้านเกม ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น แล้วเด็กเร่ร่อนก็หารายได้มาให้ร้านเกมอย่างสม่ำเสมอ เป็นลูกค้าที่ดีของร้านเกม