ขอทานเพื่อเลี้ยงชีวิต ....ตอนที่สอง
ทองพูล บัวศรี
ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
ด้วยการเดินทางไปประเทศกัมพูชาดินแดนที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หนังสือที่ต้องอ่าน มีหลายเล่มมาก แต่ไม่พลาด เรื่อง 4 ปี นรกในเขมร ของคุณยาสึโกะ นะอิโต เขียนจากชีวิตจริงในช่วง ปี พ.ศ.2518-2522 แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ตอนที่ครูอ่านก็ลุ้นตลอดเวลา ไม่ใช่ลุ้นแบบนิยายแต่ชีวิตจริงที่แสนจะเจ็บปวด บาดแผลในใจฝังลึกเขาไป ครูถามคนกัมพูชาที่เป็นรุ่นเดียวกับครูทุกคนบอกว่ารอดมาได้ทุกวันนี้ก็บุญแล้วจริงๆ บางคนเสียพ่อ แม่ พี่ น้อง ในสงครามกลางเมือง ความอดยาก ความขัดสน การไม่มีโอกาสทางด้านการศึกษา เมื่อป่วยไม่มีเงินอย่างไปโรงพยาบาลกลับไปตายที่บ้านดีกว่า การมีงานทำในกัมพูชาต้องเป็นญาติหรือไม่อย่างนั้นก็ต้องมีคนรู้จักกัน งานก็มีจำกัด ค่าแรงประมาณ 80-100 บาท แต่ค่าครองชีพเท่ากับเมืองไทยเลยนะครู
ได้มีโอกาสคุยกับ กรณีศึกษาที่พาลูกมาขอทานในเมืองไทย เป็นครอบครัวชาวกัมพูชาที่แม่หาเลี้ยงลูกสามคน คนโตอายุ 11 ปี เป็นผู้ชาย คนกลางเป็นผู้หญิง ที่ฉลาดมาก ส่วนลูกคนเล็กเป็นโรคหัวใจรั่ว คำถามที่ถามทำไมไม่รักษาตัวที่กัมพูชา เห็นว่ามีโรงพยาบาลที่รักษาเด็กโดยตรงไม่ใช่หรือ แม่เด็กตอบว่ามีแห่งเดียวเท่านั้น รอคิวกันนาน นอกนั้นจะรักษาตัวต้องมีเงินเข้าโรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น คนจน คนไม่มีเงินอย่าหวังว่าจะได้รับการดูแลที่ดี แค่ยาที่ครูให้(เป็นยาพารา หรือยาแก้ปวด แค่นี้ก็เป็นพระคุณแล้วจริงๆ) ลูกชายฉันที่ครูเห็นเป็นประจำลูกชายคนโต ตอนนี้มันตายแล้วครู กลับมาเมืองไทยถึงบ้านที่เสียมราฐ มันปวดหัวมาก ไปถึงมือหมอก็ตายแล้ว แล้วหมอก็ไม่บอกว่าเป็นโรคอะไร ครูอุตส่าห์อยากให้เรียนถ้าเชื่อครูให้เรียนลูกฉันคงไม่ตาย ฉันเหลืออีกสองคน สำหรับคนเล็กต้องดูแลเป็นพิเศษ ฉันจะกลับบ้านก็กลัวค่ายาเวลาพาลูกไปหาหมอ จำเป็นต้องหอบหิ้วกันมา สิ่งเหล่านี้เป็นการบอกกล่าวของแม่และเด็กที่พาลูกมาขอทานในเมืองไทย
เมื่อมีโอกาสที่ไปเมืองปอยเปต เมืองเสียมราฐ เมืองพนมเปญ เมืองสวายเรียงที่ติดกับโฮจิมิน ของประเทศเวียดนาม ซึ่งทุกเมืองได้คุยกับกลุ่มแม่และเด็กเหล่านี้ที่พาลูกมาขอทาน (ขอเงินนักท่องเที่ยว) บางครอบครัวจะคุยภาษาไทยได้ แต่บางคนก็สื่อสารกันเฉพาะภาษากัมพูชา สำหรับครูคือการใช้ภาษาท่าทางด้วยกาย การจับมือเด็ก การกอดเด็ก การลูบหัวเด็ก การแบ่งปัน นม ขนม หรือแม้แต่ยา ที่มีให้กัน สิ่งเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญทั้งหมด การมองเด็กด้วยสายตาแห่งความเมตตา ปราณี ก็เป็นการสื่อสารระหว่าใจถึงใจ เวลาไปสถานที่เหล่านี้เพื่อนๆที่ร่วมเดินทางจะบอกว่าคนให้มาแล้วเหลือแต่คนรับ
สำหรับเมืองปอยเปต ส่วนมากครูจะเห็นแม่ลูกอุ้มกันข้ามแดนกันมาทำงานในฝั่งไทย จะเห็นแม่ลูกพากันเก็บขยะกันเป็นส่วนใหญ่ มีบ้างที่เห็นแม่ลูกอุ้มมาขอทานเห็นระหว่างทางเดินจาก สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในประเทศไทย ไปสู่โรงแรมที่เป็นบ่อนคาสิโน ซึ่งมีจำนานหลายแห่งมาก และบางงครอบครัวก็พาลูกขอเงินอยู่หน้าโรงแรมที่เป็นสนามหญ้า บางครั้งก็พากันนอนค้างคืนที่นั้นเลย เพราะมีทั้งแสงสว่าง มีแหล่งน้ำที่อาบ กินได้ ที่แน่ๆความสว่างของแสงไฟตลอดทั้งคืน สถานที่เหมือนไม่ปลอดภัยเพราะมีตำรวจ ยาม เฝ้าอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นสถานที่ปลอดภัยของกลุ่มแม่และเด็ก เพราะไม่มีใครเข้ามาทำร้าย หรือข่มขู่เอาเงินหรือสิ่งของ ชุมชนที่ชาวกัมพูชาอยู่กัน เรียกว่าชุมชนกบาลสเบียน(Kabalspean) หรือชาวกัมพูชาเรียกว่า “บ้านบิน“ ในจังหวัดบันเตียเมียนเจย มีประมาณ 600 กว่าหลัง อยู่กันประมาณ 4 ชุมชนใหญ่ เป็นชุมชนที่สร้างขึ้นด้วยการปลูกบ้านแบบชั่วคราว รายได้คิดเป็นคืนนี้ละ 50 บาท หรือเช่าเป็นหลังเดือนละ 1,500 บาท แต่สิ่งที่แพงที่สุดคือ ค่าน้ำ ค่าไฟ การเช่าบ้านแบบนี้ไม่มีสัญญา ใครสะดวกนอนกี่คืนก็ว่ากันมานอนเสร็จก็จ่ายกัน สำหรับใครมาเช่าที่ดินเอกชนก็ได้แต่ต้องสร้างบ้านกันเอง มีบางครอบครัวที่เช่าที่ดินเป็นรายเดือนแล้วปลูกด้วยบ้านที่เป็นพลาสติคหรือมุ้งหลังคาด้วยป้ายไวนิล เวลาฝนตกบ้านเหล่านี้พังก่อน หลายคนจึงยอมที่จะเช่าบ้านเป็นรายวันโดยเน้นไม่มีอะไรติดตัวเน้นพออยู่ได้ บ้านที่คนปอยเปต คือบ้านที่มาพักชั่วคราว เพื่อรอจังหวะในการเดินทางต่อมายังในกรุงเทพมหานคร บ้านบางหลังที่นอนใช้หลังคาคุ้มด้วยแผ่นพลาสติดสีดำ แล้วข้างฝาก็เช่นเดียวกันที่ใช้ไม้ขนาบแผ่นพลาสติค แล้วเจาะรูเพื่อใช้เชือกผูกได้ ห้องส้วมไม่มี ใช้การถ่ายใต้ถุนบ้าน หรือบางครั้งก็ห่อด้วยถุงพลาสติดเหวี่ยงไว้ในป่า เวลาเดินเข้าไปเยี่ยม สิ่งที่ต้องระวัง คือ กับระเบิด (กองอุจาระ)ที่เต็มทางเดิน เรื่องสุขภาพอนามัยของชาวบ้านไม่ได้สนใจ เคยถามว่าเวลาลูกตายไปแล้วไม่ห่วงหรือเสียใจหรือ แม่บางคนบอกว่าเสียใจจะทำอย่างไรได้ชีวิตมันต้องต่อ ลูกที่เหลือก็ช่วยกันทำมาหากินกันต่อไป เรื่องการเรียนของลูกเหล่า อยากให้เรียนแต่ไม่ได้มีการเรียนเหมือนประเทศไทย รัฐบาลเขาบอกว่าเรียนฟรี แต่เมื่อไปเรียนจริงๆก็ต้องเสียเงินทุกวัน แค่มีกินในแต่ละวันก็ยากแล้วจะเอาเงินที่ไหนให้เรียน ทำไมไม่ฝากเรียนที่องค์กรพัฒนาเอกชนที่มีมากในกัมพูชา เขารับเฉพาะที่ส่งกลับมาจากประเทศไทย ทางเลือกของพวกฉันมีมากที่ไหนกัน เสียงอุทรณ์ของแม่เด็ก
สำหรับกลุ่มแม่และเด็กในเสียมราฐจะเห็นน้อยมาก จะเน้นไปที่พี่สาวอุ้มน้องออกมาขอทาน หรือพี่ชายอุ้มน้องออกมาขอทาน เดินตระเวณตามสถานที่ท่องเที่ยว ล่ามหันมาบอกกับครูว่าตอนนี้มีกฎหมายห้ามคนกัมพูชาเข้ามาขอเงินนักท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยว อนุญาตให้กับกลุ่มเด็กที่มาขายสินค้าเท่านั้น แต่สิ่งที่เราพบเห็นก็ยังมีพี่อุ้มน้องมาขอเงินนักท่องเที่ยวอยู่ดี คำถามผุดขึ้นมามากจริง จึงถามล่ามว่า “ขอเงิน” เป็นอาชีพหนึ่งในหลายๆอาชีพใช่ไหม ล่ามได้แต่ผยักหน้า แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อ ซึ่งเคยถามคนกัมพูชาที่เข้ามาขอทานในเมืองไทย คนที่บ้านส่วนมากจะไม่รู้ว่าพาลูกมาขอทาน เพียงแค่ว่ามาทำงานในเมืองไทยได้เงินเยอะมากเท่านั้น
สำหรับกลุ่มแม่และเด็กและ เด็ก เด็ก ที่โตนเลสาบ ครูเองมาเป็นครั้งที่สี่ สามครั้งก่อนไม่เคยพบกลุ่มเด็กเหล่านี้มาขอทาน หรือขายของให้นักท่องเทียวเลย สุดท้ายไม่รู้จะถามใครก็ ก็ต้องถามล่ามอยู่ดี ล่ามได้แต่อมยิ้ม แล้วก็เดินอ้อมมาบอกว่า เพราะรัฐบาลให้คนกัมพูชามาอยู่ที่โตนเลสาบเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะมาอยู่ปะปนกับคนเวียด(กลุ่มที่ดั่งเดิมที่อยู่ในโตนเลสาบคือคนเวียดนามที่มาอยู่กันตั้งแต่สงครามแล้วคนเหล่านี้ไม่กลับประเทศ จึงไม่เป็นพลเมืองของใครทั้งสิ้น สุดท้ายรัฐบาลกัมพูชาก็เอกสารสิทธิให้คนเหล่านี้อยู่ในโตนเลสาบต่อไป ซึ่งปัจจุบันจะมีโรงเรียนของชาวเวียดอยู่ เป็นเรือนแพขนาดใหญ่มีสนามฟุตบอล และมีชาวเวียดนามไป-มา หาสู่ หรือบางครั้งก็มาบริจาคสิ่งของกัน เป็นต้น) คนกัมพูชาที่มาอยู่ในโตนเลสาบ มีทั้งพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งเป็นคนกลางมารับซื้อปลาที่หาได้ในโตนเลสาบ พ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้จะเป็นเพียงพ่อค้าคนกลาง เก็บปลาไว้ขายต่อกับคนต่างถิ่นที่มาซื้อปลา หรือบางคนก็ส่งตรงมาที่ตลาดโรงเกลือของประเทศไทย ส่วนมากกลุ่มนี้จะมีคนขนปลาที่อยู่ในสังกัด 4-5 ครอบครัวต่อหนึ่งเจ้าของ ซึ่งเป็นคนกัมพูชาเป็นส่วนใหญ่ พ่อมีหน้าที่ขนปลา ลูกกับเมียก็หารายได้จากการขายของที่ระลึกบ้าง ขอเงินบ้าง อีกกลุ่มหนึ่งคือเป็นคนที่มาหาปลาให้ฤดูน้ำแห้ง คือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงเดือนพฤษภาคม ของทุกปี คนเหล่านี้จะอพยพมาจากเมืองต่างๆในชนบท บางครั้งหาปลาไม่ได้ แม่กับลูกก็ออกขอเงินนักท่องเที่ยวตามรถบัสที่มาจอด เป็นภาพที่พวกเราก็เห็นจนชาชิน บางครั้งนักท่องเที่ยวก็ตะวาดใส่บ้าง ไล่บ้าง ถ้าไม่ให้ก็บอกกับเขาดีก็ได้....จนกลายเป็นที่รำคาญของคนทั่วไป กลายถูกมองว่าเป็นขยะสังคม....มันไม่ยุติธรรมต่อเขาเหล่านั้นแน่นอน
สำหรับที่เมืองพนมเปญ ที่มีโอกาสไปเยี่ยมเยืยนมาก สนามหญ้าหน้าพระราชวังก็เป็นจุดหนึ่งที่กลุ่มแม่และเด็กเร่ร่อนขอเงินใช้เป็นที่อาบน้ำ และหลับนอน ในตลาดของเมืองหลวงพนมเปญกบที่จอดรถบัส จะพบเจอแม่และเด็กที่อุ้มเด็กด้วยภาวะของการขาดสารอาหารมาเดินเคาะกระจกขอเงิน หรือบางคนก็เดินตามนักท่องเที่ยวที่เข้าไปซื้อของ สำหรับบางคนก็จะหงุดหงิดกับภาวะแบบนี้ สำหรับครูจะหันไปถามว่ามาจากเมืองอะไร ไกลไหม อยากไปเยี่ยมบ้าน พูดไทยได้ไหม เคยมาเมืองไทยไหม สามีทำงานอะไร ช่วยพาไปบ้านหน่อยได้ไหม ครูมีแต่ขนมับนม ไม่มีเงินหรอกเอาไหม สุดท้ายก็หยิบนมดื่มกิน แล้วก็พกันหนายไป คำถามคือการพัฒนาของประเทศมากกว่า ว่าพัฒนาแบบเท่าเทียมกันจริงไหม หรือจะบอกว่าเห็นแต่กลุ่มผู้มัอันจะกินที่เดินใช้เงินในห้างสรรพสินค้า แล้วกล่าวบอกว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนของกัมพูชา คนในกัมพูชามีเพียง 3,000 คนทั่วประเทศเท่านั้นที่เร่ร่อนขอทาน เป็นคำกล่าวของรัฐบาลกัมพูชา ในงานสัมมนาเวทีนานาชาติทุกแห่ง..
ในเมืองสวายเรียง เป็นเมืองท่าที่จะข้ามไปประเทศเวียดนาม ซึ่งมีเด็กชาวกัมพูชาที่ขายสินค้ากึ่งขอเงินจำนวนมากจริง ระหว่างทีนั่งเรือข้ามฝั่งเด็กเหล่านี้ก็อาศัยเกาะเรือมาขอเงินบนเรือ โดยการเคาะกระจกรถตู้ หรือรถบัส ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็สนุกสนานด้วยการกระโดนน้ำ สำหรับครู เป็นการเรียนรู้ของคนที่จะเอาชีวิตอยู่รอด เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้บริหารประเทศที่ต้องจัดการศึกษาให้เด็กทุกคนให้เด็กได้เข้าถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล การทำเอกสารเรื่องบัตรประชาชน กับมีชื่อในทะเบียนบ้าน ซึ่งสภาพความเป็นจริงคนเหล่านี้กลับไม่มีอะไรในประเทศ เมื่อหลบออกมาก็กลายเป็นภาระของประเทศปลายทางที่จะให้อยู่อย่างไรในสถานะไหน หรือแม้แต่จะเป็นคนของประเทศอะไร เป็นอีกเรื่องที่ต้องช่วยกันดูแลพลเมืองของอาเซียน ให้เข้าถึงสวัสดิการของแต่ละประเทศ ประเทศต้นทางก็ต้องรับผิดชอบร่วมกันคะ..