banner
พุธ ที่ 10 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2558 แก้ไข admin

สถานการณ์ของคนบนถนนในเมืองใหญ่และกรุงเทพมหานคร

 


                     ด้วยการด้วยการพัฒนาประเทศ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านสิ่งแวดล้อม ด้านที่อยู่อาศัย ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ  ผลการพัฒนาเกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่สูงขึ้น จนทำให้มีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งที่อาศัยบนถนนเป็นที่อยู่อาศัย เป็นที่หารายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว กลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มเปราะบางทางสังคมที่ทุกหน่วยงานต้องเข้ามาหาหนทางในการช่วยเหลือ  ซึ่งได้แก่

          1.กลุ่มคนพิการ ที่ออกมาร้องเพลงขอทาน ซึ่งมีทั้งการเดินขอเงิน พร้อมตั้งเป็นวงตามฟุตบาธข้างทาง  ซึ่งจะมีบางคนที่มีบัตรชัดเจนในการประกอบอาชีพวนิพก  ตามพระราชบัญญัติควบคุมคนขอทาน พ.ศ. 2484  แต่ก็ยังมีกลุ่มคนพิการอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับโอกาสขึ้นทะเบียนเป็นคนพิการ ได้รับเบี้ยยังชีพ เดือนละ  500 บาท แต่ความรับผิดชอบครอบครัว ที่ต้องออกมาหารายได้  ส่วนมากจะเป็นค่าใช้จ่ายส่งเสียให้ลูกเรียน  และมีคนพิการบางกลุ่มที่มาจากสถานฝึกอบรม  แล้วมาหารายได้โดยการร้องเพลงแลกเงิน มีคนพิการที่เป็นโรคเรื้อนออกมาจากสถานสงเคราะห์ที่จังหวัดสมุทรปราการจำนวนมาก 

          2.กลุ่มผู้สูงอายุ ที่ใช้ถนนเป็นการดำเนินชีวิต ในขณะนี้มีจำนวนมากและมีความหลากหลายของกลุ่มผู้สูงอายุ   ขอแยกออกเป็น  3  กลุ่ม

                    -ผู้สูงอายุทีมีการเจ็บป่วย  แต่ใช้ถนนเป็นที่หลับนอนและหาเลี้ยงตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มที่ป่วยทางสุขภาพจิต กลุ่มที่ป่วยเรื้อรัง  กลุ่มเหล่านี้จะมีการติดพื้นที่  จะปฏิเสธในการที่ต้องไปรักษาพยาบาลหรือการเข้าไปอยู่ยังสถานคนไร้ที่พึ่งของรัฐ   และมีบางคนที่เจ็บป่วยแต่ต้องออกมาขอทานเพื่อนำเงินเหล่านี้มาเลี้ยงลูกหลาน  ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณยายทองใบ(นามสมมุติ) ที่มาใช้ชีวิตที่ทางขึ้นสถานรถไฟฟ้า โดยคุณยายจะนั่ง มีคนที่เดิน-พาไปพามาให้เงิน  แต่เงินเหล่านั้นจะไปเป็นค่าเช่าบ้าน นมหลานบ้าง  แต่คุณยายป่วยซึ่งจะมีการแพ้แสงแดดเพราะผิวหนังจะเรื้อรังค่ะ  แม่ค้าที่ขายสินค้าบริเวณนั้นเคยเราให้พวกเราฟังว่า ลูกหลานไม่สนใจเลย ชอบเอาคุยายมานั่งตรงนี้แล้วถึงเวลาก็จะมารับกลับไป  ซึ่งควรจะมีการจัดการลูกหลานที่ใช้คุณยาย 

                    -ผู้สูงอายุที่นำสินค้ามาขาย  ซึ่งได้มีโอกาสพูดคุยคนเหล่านี้ มาจากอำเภอท่าตูม อำเภอจอมพระ  จังหวัดสุรินทร์  ซึ่งจะมีผลิตภัณฑ์สินค้าของชาวบ้านมาขาย ได้แก่ รองเท้า  ตระกร้า กระจาด ตัวกวาง ช้าง พัด เป็นต้น  โดยส่วนมากจะมาเดือนละ 2 อาทิตย์ติดกันหรือเมื่อขายสินค้าหมดก็จะกลับ การเดินทางใช้การเดินทางโดยทางรถไฟ(รถไฟฟรี  ตามนโยบายของรัฐบาล)  ส่วนการพักในกรุงเทพจะพักที่วัด แถวๆบางซื่อ  โดยมีศาลาที่พักและห้องน้ำ  โดยผู้สูงอายุแต่ละท่านจะจ่ายเป็นการสนับสนุนช่วยค่าน้ำ ค่าไฟ  ส่วนการเดินทางทุกคนตอนเช้าจะออกจากวัดโดยกระจายตัวไปขายสินค้าของตนตามสถานที่ต่างๆ  เช่น พื้นที่ตลาดนัดจตุจักร  คลองหลอด พัฒนพงษ์  สยาม หน้าประตูน้ำ อนุสาวรีย์  แล้วแต่ละที่ที่เคยไปขายได้ โดยส่วนมากจะเน้นขนของขึ้นเมล์ฟรีเป็นส่วนใหญ่  จะเน้นการประหยัดเพราะเงินที่ขายได้จะนำกลับไปซื้ออุปกรณ์ต่างๆที่จะทำสินค้า บางครั้งก็จะมีลูกหลานตามมาด้วย  แต่โอกาสที่จะเป็นคนเร่ร่อนเป็นถนนก็มีสูง เพราะบางคนก็จะไม่กลับบ้านที่ชนบทโดยการใช้ชีวิตขอทานเป็นหลัก

                   -ผู้สูงอายุที่ขายท๊อฟฟี่ ขายดอกไม้ หรือตาชั่งชั่งน้ำหนัก หรือมาร้องเพลงข้างถนน(สิลปินข้างถนน)   ส่วนมากผู้สูงอายุเหล่านี้จะพักในชุมชนแออัดในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะออกมาเป็นครั้งคราว โดยส่วนมากผู้สูงอายุเหล่านี้บางคนก็อยู่ตามลำพัง โดยการหาเลี้ยงตนเองหรือบางครอบครัวก็มีลูกหลานที่เจ็บป่วย ป่วยเป็นโรคทางสุขภาพจิตเป็นหลัก บางรายไม่มีเอกสารทางทะเบียน  กรณีของคุณยายทองย้อย  ซึ่งอาศัยที่ชุมชน โรงปูน  โดยเช่าบ้านเดือนละ 500 บาท โดยมีผู้ที่ออกค่าใช้จ่ายให้  คุณยายทองย้อยป่วยเป็นโรคกระดูก โรคไต ซึ่งต้องมีการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ที่โรงพยาบาลราชวิถี (ไม่มีเอกสารแสดงตัวตนใช้ชื่อนางปราณี อุตตะยะ เป็นการรักษาตามหลักของการสงเคราะห์) มีลูกชายที่ป่วยเป็นสุขภาพจิต เนื่องมาจาการติดยาตั้งแต่วัยรุ่น  ประธานชุมชนสร้างบ้านให้ลูกชายอยู่ต่างหาก  ซึ่งแม่จะเป็นภาระเอาอาหารและสิ่งของจำเป็นให้  แต่เมื่อชายมีอาการป่วยก็จะต้องส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา  ซึ่งก็จะเป็นช่วงๆ  หรือบางครั้งลูกชายก็จะหายจากบ้านออกไปเป็นอาทิตย์แล้วก็จะกลับไปเดินไปเรื่อยๆซึ่งคุณยายก็จะห่วงมาก  มีหลายหน่วยงานที่อยากช่วยเหลือยายให้ไปอยู่ที่เหมาะสม ยายก็จะบอกทุกครั้งว่าไม่ไปไหนทั้งนั้น และยังพึ่งตนเองได้ ทั้งเรื่องอาหารหรือยาที่ต้องรับรับประทาน  โดยเฉลี่ยสัปดาห์คุณยายจะออกมาบนถนน 2-3 วันเท่านั้น เพราะการเดินทางลำบากมากและเดินทางไกลโดยใช้รถเมล์  ซึ่งทางมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กกำลังดำเนินการช่วยเหลือเรื่องเอกสารทางสถานะของ คุณยายทองย้อย  อุตตะยะ  ได้บัตรประชาชน เมื่อวันที่ 18 มกราคม  2556  ซึ่งใช้กระบวนการสืบค้น หารากเหง้า การสอบถามเข้าไปในชุมชน  พร้อมทั้งการตรวจ DNA ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้นกว่า 13 เดือน  ซึ่งครูข้างถนนที่ลงไปทำงานเรายังเชื่อมั่นว่ายังมีคนเหล่านี้อยู่อีกจำนวนมากที่ยังไม่มีเอกสารแสดงสถานะตัวตน 

          3.กลุ่มชาวเขาขายสินค้า  เป็นกลุ่มชาวเขาเปาอาข่า กะเหรี่ยง  ที่นำสินค้าที่ผลิตเองหรือบางอย่างก็หาซื้อจากตลาดเยาวราช พาหุรัด ซึ่งเป็นของเล่นของ หรือสินค้าจากประเทศจีน  จะตระเวณขายให้กับนักนักท่องเที่ยวที่ พัฒนพงษ์  ซอยนานา อโศก (ส่วนมากจะเป็นปากีสถาน บังคลาเทศ ที่ขายดอกไม้ให้กับนักท่องเที่ยว ส่วนมากจะเริ่มทำงานตั้งแต่เวลา 2 ทุ่มจนถึง ตีสอง  ซึ่งส่วนมากก็จะพักกันที่คลองตัน  ซึ่งจะมีมอเตอร์ไซด์มารับ-ส่ง  บางครอบครัวก็มีพ่อมาดูแลด้วย เป็นเฉพาะบางครอบครัว) สำหรับกลุ่มที่ขายสินค้าพัฒนพงษ์ และถนนข้าวสาร ส่วนมากจะเป็นชนกลุ่มน้อย  ซึ่งมาเช่าบ้านแถวๆสามย่าน เมื่อถึงเวลาตอนกลางคืนออกจะเดินออกจากบ้านเช่าไปขายสินค้า  ส่วนตอนกลางวันจะออกไปซื้อสินค้า หรือบางคนก็ปัก/ถัก หรือสาน สินค้าของตนเอง ที่จะนำไปขาย ส่วนมากจะเช่าบ้านอยู่กันเป็นกลุ่ม หรือบางครอบครัวก็มาทั้งครอบครัว มีลูกกลางวันไปเรียนหนังสือ ตอนเย็นก็จะมาช่วยครอบครัวขายสินค้า   

          4.กลุ่มเด็กนักเรียนที่มาหารายได้ในช่วงปิดเทอมหรือเสาร์ขอาทิตย์  ในขณะที่ความยากจนกับคนมีในสังคมไทยยิ่งห่างกันขึ้นทุกวัน ถึงแม้รัฐบาลชุดต่างๆพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาไม่ให้ช่องว่างทางรายได้ห่างกันมากนัก แต่เป็นไปไม่ได้เลย ครูข้างถนนยังพบเด็กที่มาหารายได้ในช่วงปิดเทอมมากมาย หรือบางคนมาในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ด้วยซ้ำ สิ่งที่เด็กหารายได้..เด็กเหล่านี้มีการเดินทางมาพร้อมกับคนในครอบครัว เช่น ตา ยาย ปู่ ย่า หรือ ป้า ของเด็กๆๆเหล่านี้ แต่บางรายก็จะมีแม่เด็กมานั่งอยู่ด้วย

(1) การยืนขอเงินโดยการใช้กล่องบริจาคที่เป็นกล่องกระดาษทั่วไปเจาะรูตรงกลาง แล้วแต่งชุดนักเรียนยืนตามทางขึ้นสะพานลอย หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส จะเห็นมากที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม และที่หมอชิต บางครั้งครูข้างถนนหรือมีอาสาสมัครแจ้งพวกเรามาว่าพบเด็กเหล่านี้ที่สะพานลอยต่างๆในกรุงเทพมหานคร  โดยเฉพาะหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง และบางกะปิ ซึ่งมีทั้งเด็กไทยและเด็กชาวกัมพูชา เป็นต้น

(2) กลุ่มที่เป่าแคนแลกกับเงิน ในปัจจุบันนี้เด็กกลุ่มนี้ที่สวนจตุจักรไม่ให้เข้าแล้ว เด็กจะอยู่บริเวณเชียรรังสิต หน้าห้างฟิวเจอร์พาร์ครังสิต เป็นต้น  เริ่มมีเด็กต่างชาติที่เริ่มใช้กระบวนการเหล่านี้หาเงิน  ซึ่งมีการจับกลุ่มเด็กและคนที่ซื้อเด็กมาจากตลาดโรงเกลือที่ลาดพร้าว 106 เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2555  จะเห็นได้ว่าคนต่างชาติ(โดยเฉพาะชาวกัมพูชา) กำลังเลียนแบบในการหาเงินเหมือนเด็กไทย

(3)กลุ่มที่เป่าขลุ่ย ส่วนมากใส่ชุดนักเรียน เป็นทั้งเด็กหญิงและเด็กชายส่วนมาก นั่งตากแดดบริเวณทางเดินเชื่อมระหว่างประตูน้ำ หน้าเซ็นทรัสเวริด์ ส่วนมากตามตายาย หรือปู่ย่า ที่มาขายสินค้าเด็กเหล่านี้จะทำงานโดยแลกกับเศษเงินของนักท่องเที่ยว และเป็นเด็กไทยด้วย เคยคุยกันถึงเรื่องทุนการศึกษา และการเรียนฟรีของเด็กหลายครั้งแล้ว แต่สิ่งที่เด็กตอบครูมาคือ พวกหนูต้องดูแลน้อง ดูแลครอบครัวด้วยค่ะ. อย่างน้อยคนในบ้านต้องอิ่มค่ะ..

  5.กลุ่มครอบครัวเร่ร่อน คือกลุ่มที่เด็กเร่ร่อนอยู่กินกับเด็กเร่ร่อนกันเอง จนกลายเป็นครอบครัว มีลูกที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่ให้ลูกไปรับบริการ  โดยครอบครัวของเด็กเร่ร่อนเหล่านี้เชื่อมั่นว่าจะเลี้ยงลูกได้  โดยไม่พึ่งพาหน่วยงานใดๆๆของรัฐ  อย่างเช่นกรณี ของครอบครัวน้องฟ้า (นามสมุติ) มีลูกด้วยกัน 3 คน ซึ่งมีสามีที่เป็นตัวตนอยู่ประมาณ 3 คน แต่สามีที่เป็นเด็กเร่ร่อนอีกจำนวนหนึ่ง ในครั้งแรกน้องฟ้ามีลูกคนแรก สามีเป็นเด็กเร่ร่อนเหมือนกันมีลูกด้วยกันหนึ่งคน โดยกลางวันจะมาอยู่ที่ศุนย์สร้างโอกาสสวนลุมพินี ส่วนตอนบ่ายสามีจะเริ่มอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน  ในช่วงหลังเวลากว่า 6 โมงเย็นเป็นต้นไปแม่ก็พาลูกลูกออกมาพร้อมข้างของที่นอน ที่หน้าสวนลุมพินีหน้าพระบรมรูป โดยครอบครัวน้องฟ้าจะนอนกับลูกที่หัวมุมมืดที่หน้าสวนลุมพินีจนกลายเป็นภาพชินตา  ที่ยังใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่  โดยบางครั้งในช่วงกลางคืนจะพาครอบครัวมานอนที่หน้าสวนลุมพินี  หรือสะพานพุทธ  มีเด็กมาด้วย

ในปัจจุบันมีครอบครัวเหล่านี้อาศัยตามพื้นที่ต่างๆ จำนวนไม่น้อยกว่า 15 ครอบครัว  ซึ่งในอนาคตพวกเขาเหล่านี้ก็จะกลายเป็นบุคคลไร้บ้านโดยสิ้นเชิง  แล้วไม่พยายามที่จะปรับชีวิตและพฤติกรรมให้เหมือนคนใช้ชีวิตปกติทั่วไป  แต่ที่สำคัญคือลูกหลานของคนเหล่านี้ที่จะไม่เข้ารับบริการใดๆที่รัฐมีให้  ปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตบนถนน  ซึ่งมองเรื่องเสรีภาพก็อาจะจะตอบว่าใช่  แต่ถ้ามามองประเด็กสิทธิของเด็ก  เด็กเหล่านี้ต้องได้รับการดูแลเช่นกัน 

6.เด็กเร่ร่อนวัยรุ่น ซึ่งมีทั้งเยาวชนหญิงและเยาวชนชาย  ซึ่งยังใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น สะพานพุทธ  หัวลำโพง  จตุจักร  ซึ่งยังไม่มีบ้านใดๆที่รับเด็กเหล่านี้  หรือเด็กและเยาวชนบางคนเคยอยู่ในหน่วยงานต่างๆมาแล้ว  แต่ปัจจุบันอยากใช้ชีวิตที่เป็นอิสระ เด็กเหล่านี้บางคนเติบโตมาจากเด็กที่เคยเช็ดกระจกที่สี่แยก อ.ส.ม.ท.  และแยกอโศก  แต่ปัจจุบันกลายเป็นกลุ่มเร่ร่อนถาวร  รวมตัวกันอยู่เป็นแก๊งค์  ซึ่งใช้อาชีพเพื่อหารายได้มาเลี้ยงตนเอง หลายวิธีการด้วยกัน

-ด้วยการก่ออาชญากรรม เช่น ลักขโมยสิ่งของ ปล้น หรือวิ่งราว  มีเด็กเร่ร่อนบางส่วนที่ต้องเข้าสู่กระบวนการทางสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน  เมื่อพ้นการฝึกอบรมเยาวชนเหล่านี้ก็ไม่รู้จักทำอะไรก็ยังคงมาใช้ชีวิตบนถนนเหมือนเคย  ชีวิตที่หลักลอย ไม่มีที่อยู่อาศัย และที่สำคัญคือไม่ต้องการที่จะปรับตัวด้วย

-กลุ่มที่เต็มใจในการขายบริการทางเพศ  ซึ่งมีเกือบทุกพื้นโดยเฉพาะกรุงเทพมหานครและพื้นที่พัฒนพงษ์ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย อุดรธานี เป็น  เยาวชนเร่ร่อนหลายคนที่ตายเพราะโรคเอดส์ ซึ่งมีให้เห็นเป็นรายวันในแต่ละพื้นที่

-กลุ่มที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศแบบไม่เต็มใจเป็นชาวต่างชาติ ที่มีการอัดวีดีโอ หรือการขายแผ่นซีดี เรื่องการร่วมเพศขาย  ในขณะนี้มีจำนวนมากขึ้น ในปัจจุบันมีชายไทยจำนวนหนึ่งที่มาใช้บริการเด็กผู้ขายในเรื่องเพศด้วย

เป็นกลุ่มปัญหาที่น่าห่วงมากที่สุดและต้องหากระบวนการแก้ไขโดยด่วน  ทุกหน่วยงานต้องเข้ามาช่วยเหลือและดำเนินการในเรื่อง บ้านของเด็กเร่ร่อนวัยรุ่น  อาชีพที่หลากหลายและเหมาะสม สำหรับเด็ก 

 7.กลุ่มเด็กเร่ร่อน  ที่อายุต่ำกว่า 13 ปี  ที่ยังออกมาใช้ชีวิตบนถนนบ้าง  ซึ่งส่วนใหญ่ครูข้างถนนจะพบได้เร็วขึ้น  และมีการช่วยเหลือได้ทันท่วงที หรือบางครั้งก็มีการประสานงานส่งต่อเพื่อให้เด็กได้รับโอกาสที่ดีที่สุด  เด็กกลุ่มนี้ยังต้องใช้กระบวนการสร้างความไว้วางใจ  แล้วรีบพาเด็กออกจากถนนให้เร็วที่สุด แต่เด็กกลุ่มนี้ประสบปัญหาอะไรบ้าง

-การไร้ที่พึ่งพาอาศัยอย่างเป็นสุข นับแต่ภายในครอบครัวที่ไร้สุขจนอยู่ไม่ได้กระทั้งต้องหนีออกมาใช้ชีวิตเร่ร่อน อาศัยหลับนอนตามพื้นที่สาธารณะต่างๆ เช่นสถานีรถไฟ สะพานลอย ป้ายรถเมล์ โป๊ะเรือ เป็นต้น

-ขาดสิ่งที่จำเป็นพื้นฐาน เช่นอาหาร เสื้อผ้า การรักษาพยาบาล  สิ่งที่จะช่วยบรรเทาการหิวของเด็กได้คือการขอทาน นำเงินมาซื้ออาหาร หรือการเก็บขยะขาย เพื่อนำเงินมาดูแลตนเอง เสื้อผ้าของเด็กจะมอมแมมเป็นอย่างมากด้วยเสื้อผ้าชุดเดิม

-การอยู่ในสังคมอย่างไรสวัสดิการ โดยเฉพาะโอกาสทางการศึกษา เด๋กเหล่านี้ไม่มีโอกาสได้รับทักษะอะไรเลย  บางคนก็จากโรงเรียนกลางคันมา เพื่อมาขายของ ขายพวงมาลัย เด็กบางคนไม่มีเอกสารทะเบียนแสดงตัวตนของตนเองด้วยซ้ำ

-เด็กๆๆเหล่านี้เสี่ยงต่อการถูกต้องเป็นเครื่องมือทางเพศ และก่ออาชญากรรม จากกลุ่มเด็กเร่ร่อนวัยรุ่น หรือแก๊งค์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านี้มาก่อน

 8.กลุ่มแม่และเด็กเขมรขอทาน  ซึ่งมีจำนวนมาก ซึ่งพาลูกมาขอทาน อยู่ในแหล่งกลางใจเมือง หรือตามมุมเมืองใหญ่ของจังหวัดต่างๆ   แม่และเด็กเหล่านี้ในปัจจุบันไม่ได้มีการบังคับ จะเดินทางกันมาเอง หรือมากับครอบครัวโดยสามีเป็นย่ามหรือเป็นกรรมกรก่อสร้างอาศัยอยู่ตามบ้านพักกรรมกรก่อสร้าง  แม่และเด็กออกมาหารายได้เพิ่มเติม 

          ในช่วง 2-3 ปี มานี้กลุ่มแม่และเด็กเขมรขอทาน เข้ามาในกรุงเทพมหานคร และหัวเมืองใหญ่ เป็นจำนวนมาก  จากการลงพื้นที่ของครูข้างถนน ในช่วงปี 2555  ได้พบแม่และเด็กเหล่านี้ จำนวน 107 ครอบครัว  และมีกลุ่มเด็กที่ติดตามแม่มาถึง 268 คน  เห็นได้ว่า มีจำนวนมากขึ้น  และต้องมีกระบวนการดูแลอย่างเป็นระบบมากขึ้น  พร้อมทั้งวาทกรรมในการพัฒนากลุ่มนี้  คือ ต้องให้เขาได้สิทธิขั้นพื้นฐานในความเป็นมนุษย์ด้วยกัน

          จะเห็นได้ว่าคนบนถนนมีความหลากหลาย ครูข้างถนนที่ลงไปททำงานช่วยเหลือก็ต้องปรับรูปแบบในการทำงาน เพื่อให้ทุกคนได้รับโอกาสที่ดี

           ..................................................................................................................