banner
อังคาร ที่ 27 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2559 แก้ไข admin

ขอเงิน..ส่งลูกเรียน



 
นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

          ครูคะ แม่หนูถูกจับ

          ขอทานใช่ไหม  หน่วยงานไหนจับ ไม่รู้คะ  มีเจ้าหน้าที่โทรมาหาเมื่อสักครู่

          คืนนี้ พวกเราสี่คนพี่น้องต้องอยู่กันเอง  แม่เพียงแต่บอกว่าให้หนูดูแลน้องกับพี่ชายให้ดี

          เป็นเพียงเสียงโทรศัพท์ที่โทรบอกมา 

          ครูเองก็มึนงง ช่วงนี้แม่และเด็กถูกจับกันทุกคืน ทุกวัน  แล้วแต่ละหน่วยงานก็ใช้วิธีการปฏิบัติงานกับกลุ่มแม่และเด็กเร่ร่อนต่างด้าว ที่พาลูกออกมาขอเงิน ไม่เหมือนกัน  เหมือนไม่ได้อยู่ในประเทศเดียวกัน  หรือใช้กฎหมายตามดุลยพินิจของหน่วยงานมากกว่า

          ครอบครัวนี้พ่อของเด็กทำงานอยู่ที่ระยอง  เกิดการทะเลาะวิวาทกัน พ่อซวยรับผิดชอบไปเต็ม เต็ม ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ติดคุกอยู่

          ครอบครัวนี้มีลูกทั้งหมด 6 คน ลูกผู้ชายสามคน ลูกพี่หญิงสามคน

          แม่จะทำงานรับจ้างทั่วไปบ้าง แล้วเงินที่สามีส่งมาให้ใช้ เป็นค่าเช่าบ้าน

          อีกส่วนหนึ่งจะพาลูกออกไปขอเงินที่ถนน เป็นครั้งคราว มาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าอาหารของลูก  อีกส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายให้ลูกไปโรงเรียน

          ครอบครัวของฉัน ฉันมากับสามี มาทำงานก่อสร้าง ต้องบอกว่าเข้าประเทศไทย ด้วยเอกสารมีพาสปอร์ทั้งครอบครัว แต่อยู่ไปก็ไม่ได้ต่อ เพราะค่าแรงที่ได้กับการเลี้ยงคนในครอบครัวทั้งหมด 8 ชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  ฉันเองไม่ได้พาสปอร์จึงกลายเป็นว่าตอนนี้อยู่แบบผิดกฎหมาย 

หลายคนชอบถามถึงว่า เหตุอะไรจึงต้องพากันมาหากินในเมืองไทย

เดิมบ้านฉันกับครอบครัว อยู่ที่ประเทศกัมพูชา แต่ติดกับทางอำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว  ลูกของฉันเรียนโรงเรียนไทย เรียนภาษาไทย  มาตั้งแต่เล็กแล้ว

สภาพที่อยู่ที่อาศัย ตอนนี้คงไม่เป็นบ้านแล้ว เพราะพาลูกออกกันมากเป็นเวลากว่า สิบปีแล้ว  ด้วยสามีไม่อยากให้อยู่ที่บ้านเฉพาะเด็กกับผู้หญิง เพราะมันอันตรายมาก  มีคนดีและไม่ดี  และที่สำคัญไม่รู้ว่าเป็นคนไทยหรือคนกัมพูชา ตายกันบ่อย

ครั้งแรกที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย สามีและฉันก็ทำงานก่อสร้างกันมาตลอด

ฉันกับสามีมีลูกมาก จนบางครั้งต้องออกพากันมาขายดอกไม้  ฉันกับลูกสาวคนที่สอง เคยถูกจับ แล้วฉันก็เข้าไปอยู่เรือนจำ ในข้อหาค้ามนุษย์ แล้วส่งไปอยู่สถานกักกันสวนพลู

ลูกสาวคนที่สอง ไปอยู่ที่สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านเกร็ดตระการ

ลูกสาวคนที่สาม และลูกชายคนที่สาม พร้อมเด็กชายคนที่ห้า อยู่ที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด อยู่กันเป็นปี

ฉันออกมาจากเรือนจำ ฉันขอเข้าไปเยี่ยมลูกสาว ทางหน่วยงานไม่ให้เยี่ยม

จนต้องมีเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญแห่งหนึ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จนต้องมีการไกล่เกลี่ย มีการพูดคุยในรายละเอียดหลายครั้ง แต่สิ่งเหล่านี้ปฏิบัติการกันเฉพาะรายเคส แต่ยังไม่มีการกำหนดเป็นนโยบาย

สุดท้ายครอบครัวก็ได้ลูก คืนกับมาเป็นครอบครัวกันอีก  แต่ความจน ความไม่มี ฉันกับครอบครัวก็ยังอยู่บนถนนอีกเหมือนเดิม

ฉันกับสามีของฉัน คิดตลอดเวลาต้องการให้ลูกได้เรียนหนังสือต่อ  เพราะพวกเคยเรียนมาก่อน ตั้งแต่อยู่ที่กัมพูชา

บ้านของพวกเรา อยู่ติดชายแดนไทย เดินไม่ถึง สองร้อยเมตรก็ถึงฝั่งไทยแล้ว ลูกฉันจึงเรียนภาษาไทยกันตั้งแต่เด็ก แล้วการสื่อสารด้วยภาษาไทย

ลูกคนโตเรียนหนังสือไม่ได้ เพราะเป็นเด็กพิการ สื่อสารไม่ได้ กินอย่างเดียว  และเป็นโรคลมชักด้วย เวลามีอาการหนาว แต่ช่วยเหลือตนเองได้ อาบน้ำ เข้าห้องน้ำ ไม่ต้องกังวล

สำหรับลูกคนที่สอง ทำงานแทนแม่ทุกอย่าง ยิ่งเวลาที่ฉันถูกจับ คนนี้ทำงานหาเงิน จัดการเรื่องการเงิน หาอาหาร ดูแลความสะอาด  ดูแลน้องทุกคน  และอยากเรียนหนังสือให้สูงที่สุด

ครูคะ  หนูอยากเรียนหนังสือ  หนูอยากมีงานทำที่ดี หนูอยากเป็นแบบครูที่ทำงานช่วยเหลือคนอื่นเขา

แต่ที่โรงเรียนบอกว่า ถ้าเด็กคนไหนไม่มีเอกสาร เด็กต่างด้าวไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ

รอเวลาให้เธอจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อน  เรียนเรียนต่อไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวประสานงานกับโรงเรียนได้  มีมติคณะรัฐมนตรีรองรับอยู่แล้ว เรียนตั้งชั้นอนุบาลจนถึงอุดมศึกษา


แต่หนูก็ไม่มีเงิน ต้องช่วยเหลือครอบครัวในการเป็นค่าใช้จ่าย  ขอเขาบ้าง ขายของบ้าง รับจ้างบ้าง  พวกเราทุกคนสู้กับความยากลำบาก ขอเพียงแค่ได้เรียนหนังสือ

ครู ลูกของฉันทุกคน ตั้งใจเรียนกันอย่างมาก อยากให้เขาได้เรียนต่อ ถึงใครจะว่าฉันอย่างไร  ขายความน่าสงสาร หรือจะว่าอย่างไร ช่างเขาเถิด  เขาไม่รู้จักชีวิตที่เป็นอย่างฉัน

ฉันผิดเองที่มีลูกตั้งหกคน แต่ฉันก็อยากเลี้ยงให้เขามีการศึกษา อ่าน ออก เขียน ได้โดยเฉพาะภาษาไทย  แต่ภาษากัมพูชาเด็ก เด็กพูดได้อยู่แล้ว  ได้สองภาษาเด็กจะได้ไม่ต้องลำบากในอนาคต

ตอนที่ย้ายเข้ามาเรียนในประเทศไทย ครั้งแรก เด็กคนอื่นที่เป็นเด็กไทยก็ว่าพวกเรา แต่แม่สอนพวกเราให้อดทน อย่าไปฟังเขา ใครจะพูดอะไรก็ช่างเขา ขอให้พวกเราได้เรียนหนังสืออย่างเดียว

น้องคนที่สาม โดนล้อพ่อแม่ ว่า “หน้าไม่อาย มาอาศัยบ้านเขา”  น้องสาวได้แต่ยิ้ม  ด้วยนิสัยชอบทะเลาะ และไม่ยอมใคร  แต่แม่สั่งไว้ว่าอย่ามีเรื่อง ให้เรียนหนังสืออย่างเดียว 

แม่ย้ำกับทุกคนห้ามทะเลาะกับเด็กไทยอย่างเด็ดขาด  มีครั้งหนึ่งน้องชายคนที่สี่ ไปโรงเรียนถือแก้วน้ำหกรดเสื้อ  น้องชายก็ขอโทษแล้ว แต่เด็กคนนั้นมาเตะน้องชาย น้องชายสู้เตะกลับไปเหมือนกัน  กลับถึงบ้านแม่ตีน้องชายไปสามที่  ด้วยเหตุผลไม่เชื่อฟัง

แม่บอกต่อกับพวกเรา  พวกเรามาเรียนหนังสือ มาอยู่มาอาศัยเมืองไทยอยู่ ขอให้อยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัว  อย่าทะเลาะกับใคร  เพราะพวกเราทุกคนมีสิทธิถูกจับได้ตลอดเวลา

พ่อของเด็ก เด็ก ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเช่า ต้องออกไปทำงานตามที่เถ้าแก่หาได้ ไปอยู่ต่างจังหวัดครั้งละหลายเดือน  พ่อจะมาเยี่ยมพวกเราตอนที่จะต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน


สำหรับค่าใช้จ่ายในบ้าน พวกเราทุกคนต้องช่วยกันหา

พวกเราทุกคนไม่มีใครอย่าทำงาน แบบขอเงินคนอื่นเขาหรอก  เพราะกฎหมายที่กัมพูชาไม่มี การขอเงินถือว่าเป็นการแบ่งปัน เอื้ออาทรต่อกัน

แต่สำหรับเมืองไทยผิดกฎหมาย ตั้งแต่ ค้ามนุษย์ หลบหนีเข้าเมือง  ขอทาน คุ้มครองเด็ก สารพัดกฎหมาย  บางครั้งก็ถูกรีดไถ่จากคนของรัฐ  ขนาดพวกเราเองก็แค่หากินเฉพาะครอบครัว มีเจ้าหน้ามาตอนกลางคืน เอารถมอเตอร์ไซด์บ้าง เอารถตู้บ้าง มาถึงก็รีดอย่างเดียว ครั้งละ ร้อยจนถึงห้าร้อย  มีบางครั้งก็เอาหมดเลย

ฉันคุยกับกลุ่มเพื่อน ตลอดเวลาว่า พวกเราคงมีกรรมแต่ชาติปางก่อน  ถึงถูกรีดไม่มีที่สิ้นสุด  ชีวิตของพวกเราก็แค่อยู่รอด  แล้วพวกเขาเหล่านี้คือใคร  ทำบาปบนคราบน้ำตาของแม่และเด็ก หากินบนหลังคน   เขาเหล่านั้นเวลาไล่จับพวกฉัน พวกฉันถูกโดนด่าสารพัด ว่าขี้เกียจ เกียจคร้าน ไม่ยอมทำงานหนัก  ทุกคนที่เห็นอยู่บนถนน ทุกคนทำงานหนักกันมามาก  แต่สุดท้ายที่ออกมาบนถนน ด้วยเหตุผลขอการต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน

ฉันก็เหมือนกัน แต่ก่อนสามีทำงานจะมาจ่ายค่าเช่าบ้านให้  เป็นภาระที่หนักมากคือที่ซุกหัวนอนคนจนอย่างฉัน  เพราะพวกเราทำงานได้ก็แค่เป็นเพียงค่าใช้จ่ายรายวัน   การจะเก็บแต่ละครั้ง มันมีแต่เรื่องต้องใช้เงินตั้งแต่

เงินลูกไปโรงเรียน อย่างน้อยวันละประมาณ 60 บาท สามคน แค่อาหารกลางวันกับน้ำดื่มเท่านั้น  ค่าอาหารอีกสามมือต่อวันอย่างน้อยก็ 150 บาท มื้อละ 50 บาทเท่านั้น  ค่านมกับขนมลูกห้ามใช้เกิน 40 บาท  อย่างน้อยสุดรายจ่ายที่ต้องจ่ายต้องทุกวัน 250 บาท  ค่าแรงที่พ่อทำงานก็หมดแล้ว

ค่าเช่าบ้าน เพิ่งย้ายมาใหม่ ซึ่งต้องการที่ปลอดให้เด็ก  เป็นห้องที่มีสัดส่วน  ทำความสะอาด มีห้องน้ำ  และมีลูกหลายคนด้วย  ยิ่งสามีไปทำงานที่ต่างจังหวัด สิ่งสำคัญของความปลอดภัย

เคยมีเด็กผู้หญิงชาวกัมพูชา ถูกล่วงละเมิดทางเพศ  เอาความผิดใครไม่ได้ ถึงแม้จะรู้ว่าใครเป็นคนทำ  เพราะพวกเราจะถูกจับ เรื่องหลบหนีเข้าเมืองแทน  ฉันจึงห่วงลูกของฉันอย่างมาก

อาทิตย์หนึ่งฉันจะออกไปถนน สามครั้ง  วันธรรมดาฉันจะออกพร้อมลูกคนเล็กเท่านั้น ส่วนอีกห้าคน สามคนต้องไปเรียนหนังสือ มีการบ้านเยอะมาก และเรียนพิเศษเพิ่มเติม

ฉันจะมีความสุขทุกครั้ง ที่เห็นลูก อ่าน เขียน พูด ฟัง และตั้งใจทำการบ้านอ่านหนังสือ  เวลามีปัญหาลูกทั้งสามคน ผสมพยัญชนะ สระ อ่านให้แม่ฟัง ว่าถนนสายนี้ชื่ออะไร  รถเมล์สายอะไรผ่านบ้าง  ยาที่ซื้อมากินชื่อยาอะไร   ซื้ออาหารเองได้  พูดจากับร้านค้าต่อรองสินค้า  ฉันดีใจมากแล้ว  เพราะฉันอ่าน ไม่ออกเขียนไม่ได้เลย

ฉันมีความสุขทุกครั้ง แล้วก็ได้แต่นั่งมองเวลาพวกเด็ก เด็ก ทำการบ้าน  ใครจะว่า “ฉันขอเงิน ส่งลูกเรียน” ก็เรื่องของเขา  เขาไม่รู้หรอกว่าครอบครัวของเราลำบากกันแค่ไหน  ใครเมตตาเขาก็ให้  คนอื่นที่เขารังเกียจเขาก็ไม่ให้ ฉันไม่ได้ว่าอะไร


แต่ฉันพูด และสอนลูกตลอดเรื่องการเรียน  ต้องตั้งใจเรียน เพราะครูที่โรงเรียนให้เขาโอกาสแก่พวกเราทุกคน  ให้เราได้เข้าไปเรียนในโรงเรียน

สำหรับเด็ก บางครั้งก็จะช่วยไปหาเงินในช่วงวันศุกร์ วันเสาร์  ส่วนวันอาทิตย์ส่วนมากจะให้เตรียมไปเรียนหนังสือ กินให้อิ่มนอนให้หลับ จะได้มีแรเรียนหนังสือ

ฉันจะย้ำเตือนลูกของฉันเสมอ  ต้องรักเรียนให้มาก   เพราะเรียนหนังสือเท่านั้น ที่จะมีโอกาสเลือกงานทำได้  ถึงจะมีโอกาสช่วยเหลือครอบครัว

พี่ทุกคนต้องดูแลน้อง ห้ามลักขโมยใครเด็ดขาด ห้ามก่อเรื่อง หรือสร้างความเดือดร้อน

ฉันก็โดนคนกัมพูชาพูดใส่หน้าตลอดเหมือนกันว่า “ไม่มีจะกิน ดันอยากให้ลูกเรียนอีก โง่หรือฉลาดกันแน่” ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง  ความฝันของฉัน ลูกต้องได้เรียน

ความเจ็บปวดของฉันมีมาก อ่าน เขียนไม่ได้ โดนหลอกกันมาเยอะแล้ว ให้เซ็นเอกสาร หรือต้องปั้มหัวแม่มือ  มันเจ็บปวดเพราะเราอ่านเอกสารไม่ออกทั้งภาษากัมพูชา และภาษาไทย

ลูกสาวคนที่สอง เวลาเขาอ่านเอกสาร หรือต้องช่วยแปลให้กับคนกัมพูชา ไม่ว่าเจ้าของห้องเช่า หรือแม่ค้าในตลาด  ฉันปลื้มมาก  ความอิ่มเอิบใจของฉัน ยิ่งลูกเป็นตัวแทนของโรงเรียน ฉันยิ้มทั้งวัน มันความสุขที่อยู่ลึก ลึก  อย่างน้อยลูกของฉันไม่ถูกใครหลอกแน่นอน

ลูกของฉันเดินทางไปไหนเองได้ ด้วยการอ่าน  ให้ฉันเหนื่อย ให้ฉันต้องถูกจับอีกสักกี่ครั้ง  ถ้าเงินเหล่านั้น  จะช่วยให้ลูกได้เรียนฉันก็ทน

มันเป็นความฝันของคนเป็นแม่อย่างนั้น   อย่าให้ลูกต้องมาลำบากเหมือนฉัน  ขอให้ลูก ลูก ได้เรียนหนังสือ  ทน สู้ กันอีกกี่ปีก็ช่าง  ให้ลูกได้เรียนเท่านั้น

จากการทำงานครูข้างถนน ที่ได้เรียนรู้กับแม่เด็กเร่ร่อนต่างด้าวเหล่านี้ หัวใจของการเป็นแม่ที่อยากให้ลูกอ่าน ออก เขียนได้  มีไม่น้อยเลย  แม่ทนทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้เรียน  นับถือหัวใจของแม่ทุกดวง

หัวใจ แรงปรารถนาอันแรงกล้า คือลูกได้เรียนเท่านั้น