banner
จันทร์ ที่ 12 เดือน กันยายน พ.ศ.2559 แก้ไข admin

ที่ซุกหัวนอน



 นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

          บนสะพานลอยเต็มไปด้วยผู้คนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่างศาสนา เต็มไปหมด มันคือแหล่งนักช็อปปิ้ง ต่างคนก็หลั่งไหลกันมาก ว่าฉันได้มาใจกลางคืนกรุงเทพมหานคร หน่วยงานการท่องเที่ยวโปรโมตอย่างเต็ม เพราะคือรายได้เข้าประเทศ  ระหว่างบันไดคนเดินจะมีครอบครัวแม่เร่ร่อนต่างด้าวพร้อมลูกอีกสามคน ซึ่งตัวเล็กสุดเพิ่งคลอดได้แค่สองเดือน นั่งหลบมุมบันได ด้านหน้าระหว่างขั้นบันไดมีเด็กน้อยนั่งเรียงกัน แล้วมีถ้วยกระดาษยี่ห้อต่างๆ  ซึ่งถูกทิ้งขว้างเป็นภาชนะใส่เงินจากนักท่องเที่ยว

          ใครเห็นก็ต้องโยนเศษเหรียญเงินทอนจากห้างสรรพสินค้าบริเวณนี้ไม่กว่าห้าห้างใหญ่ เหรียญเหล่านั้นมีตั้งแต่ หนึ่งสลึง เหรียญห้าสิบสตางค์ เหรียญหนึ่งบาท เหรียญห้าบาท เหรียญสิบบาท แต่มันเป็นเงินที่ซื้อข้าวเลี้ยงลูก ค่ายาของลูก ค่าเช่ารายวัน

          แม่เด็ก ชื่อ นางที (นามสมมุติ) ดวงตาสวยมากคมกริบ  ตัวเล็ก ผิวเหลืองออกมาทางขาว อายุไม่เกิน 20 ปี มีลูก 5 คน สามี สามคน โอ้พระเจ้า  ทำไหมหาสามีได้ง่ายนัก  นางทีบอกว่าประเพณีของกัมพูชาต้องมีไว้เพื่อคุ้มครองผู้หญิง  แต่ผัวฉันพอมันมีลูกมันก็หายหัวกันหมด  ไม่มีใครรับผิดชอบสักคน  ที่อยู่ได้เพราะกระเตงลูกมาทำมาหากินในเมืองไทย จะฝากญาติไว้ที่กัมพูชาก็ไม่มีเงินส่งให้เป็นค่าเลี้ยงดู  จะอดจะอยากก็มาสู้ด้วยกัน  เวลาโดดจับก็ยกไปทั้งครอบครัว


          ลูกชายคนโตอายุ 9 ปี เป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลาทีเดียวเลย ผิวสีขาว โตสมส่วนพอสมควร  แม่จะไม่ให้อด เวลาขอเงินได้ซื้อให้ลูกกินหมด

          ลูกสาวคนที่สอง อายุ 7 ปี หน้าตาน่ารักมาก ซึ่งเหมือนแม่มาก  แต่ในตาเศร้ามาก เวลาเล่นเสียงหัวเราะจะสุด สุด เห็นใบหน้าอย่างเบิกบานเต็มที่

          ลูกชายคนที่สาม อายุ 6 ปี คนนี้ซนสุด สุด อยู่ไม่นิ่งเลย กินตลอดเวลา  ตอนนั่งขอเงินพอมีเงินจะวิ่งลงไปซื้อของกินใต้สะพานทันที คนนี้เคยวิ่งหนีตำรวจเร็วมาก ฉลาดมาก มีบางครั้งที่แม่ไม่ได้ออกมา ลูกคนนี้จะออกมาคนเดียวเป็นประจำ เสร็จแล้วก็จะซื้ออาหารกลับบ้าน  เหมือนผู้นำของครอบครัวเลย

          ลูกคนที่สี่ ชื่อแดง อายุ 4 ปี คนนี้ ครูช่วยเรื่องทำใบรับรองการเกิดที่สำนักงานบางรัก  เป็นคนเดียวที่มีเอกสาร ใบเกิด ชอบเล่นอารมณ์ดี  ชอบเล่นกับพี่สาวมากกว่าคนโต เพราะพี่สาวเลี้ยงตั้งแต่เล็ก

          คนที่ห้าเพิ่งคลอดเกิดกับสามีใหม่ คนนี้ก็เป็นลูกผู้ชายเหมือนกัน ตัวอ้วนเพราะอยู่ในสถานแรก รับคนไร้ที่พึ่งกว่า 9 เดือน  จนติดมาทุกวันนี้ กินนมเก่งมาก กินครั้งสองกล่อง ทั้งข้าวและอาหารเสริม อ้วนตัวกลมผิวขาว เป็นเด็กที่เจ้าหน้าที่ของบ้านมักผลัดกันอุ้มไป-มา รอบบ้าน

          เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ก่อนที่จะมีรัฐประหาร สี่แม่ลูกชีวิตส่วนใหญ่ก็ยังอยู่บนสะพานลอย ที่ใคร ใคร เรียกเขาว่า “ขอทาน” 

          ฉันไม่โกรธเขาหรอก ฉันขอทานจริง จริง  แค่เอาไปเลี้ยงลูก ไม่มีรายได้ที่เขาว่ากันหรอกว่าครั้งละ สอง-สามพัน  บางวันก็ได้แค่ นม ขนม พอให้ลูกกินเท่านั้น

          ฉันรู้ว่ามันผิดกฎหมายเมืองไทย ฉันกับลูกโดดจับกันตลอดกว่า 20 ครั้ง  แต่ฉันก็ยังไม่เข็ด

ปากท้องมันหิว ใครจะมาช่วยฉัน  บางคนก็บอกว่าแล้วมีลูกเยอะทำไม  ฉันก็หวังว่าโตขึ้นมาจะมีสักคนที่เลี้ยงฉันบ้างในฐานะแม่

          เวลาลูกป่วยมันเจ็บปวดสุด เงินก็ไม่มี  ลูกก็ป่วย  ดีนะที่ครูทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ ครั้งนั้นฉัน หมดหนทางจริง จริง ครู ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร

          ลูกเป็นอะไรไป

          คนโตมันเดินออกไปนอกชุมชน แล้วไปเตะเหล็ก แผลลึกมาก เลือดไหลตลอดเลย

          คนที่สามตัวร้อนมาสามวันแล้ว มีอาการชักตั้งแต่เช้าแล้วครู

          ฉันกลัวจัง กลัวลูกตาย ฉันไม่อยากให้ลูกต้องมาตายเหมือนลูกคนอื่น  มาตายในเมืองไทย

          “ครูช่วยฉันด้วยนะ”

          “ฉันไม่มีเงินเลยครู”

          “ครูเบ็งรถแท็กซี่ มาจากหลักสี่”

          ให้เด็กและแม่มารอสะพานลอยหน้าชุมชน

          “มาถึงก็ตะโกนเรียกทั้งหมด”

          ไปโรงพยาบาลกันก่อน ขึ้นแท็กซี่แล้วกันนะ เร็วหน่อย  หอบลูกไปกันให้หมด        

          “คนโตไปทำแผล” เย็บแผล

          พยาบาลก็ทำแผลอย่าเบามือมาก  บอกว่าต้องเย็บแผลด้วยนะ แผลลึกมาก

          แต่เด็กก็ร้องลั่นโรงพยาบาลเลย

          คนที่สามไม่มีเสียงร้อง มีแต่น้ำตาไหลตลอดเวลา ถามว่าเป็นอะไรไปก็ไม่ตอบ

          ลูกสาวคนเดียวบ่นว่าหิว  แม่เอามือตีไปที่แขนลูก บอกว่าให้พี่เพีย หาหมอก่อน

          ให้เจ้าสามหาหมอก่อน คอยไปพากันออกขอเงินเพื่อซื้อข้าวกิน

          ครูถามว่า “ยังไม่ได้กินข้าวกันหรือ”

น้องไพ ลูกสาวตอบเสียงดังมากว่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานเย็น

แม่ร้อยมาลัย เจ้าของหอบเงินหนีไปหมด พวกเราทั้งครอบครัวเลยอด

เหตุที่พี่เพียเจ็บครั้งนี้ เพราะว่าพี่เพียจะออกไปขอทาน แต่เจอตำรวจจึงวิ่งหนี

น้องไพบอกอีกว่า “กินแต่น้ำจนท้องเต็มไปด้วยน้ำ ฉี่ออกมันก็หมด” อาการหิวมันก็ยังอยู่คะครู 

ครู อึ้งไปเลยคะ  เดินออกไปซื้อข้าวมาให้ 5 กล่องพร้อมน้ำ นมอีกครึ่งโหล พร้อมมะม่วง 3 ถุง  ทั้งแม่และลูกนั่งกินจนเกลี้ยงไม่เหลือข้าวสักเม็ด  ไม่เหลืออะไรเลย

มื้อนี้เป็นมื้อแรกตั้งแต่เมื่อวานและวันนี้  ตอนนี้ก็บ่ายสาม  ครูได้แต่มองยิ้มไม่ออก  ดีที่ตัดสินมาทันทีที่แม่โทรบอกว่าลูกไม่สบาย  ไม่นึกว่าจะอดกันแบบนี้ แม้ข้าวกินก็ไม่มี

เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งแม่และเด็กยกมือขอบคุณครู เสียงแม่บอกว่าครูได้ช่วยเหลือทุกครั้งยามเมื่อพวกฉันลำบาก ขอบคุณมาก

 กินกันอิ่มเด็กก็มีพลังกันทันที เสียงเด็กก็ดังตามประสาเด็ก ไม่กวนครูไม่กวนแม่

เจ้าสามได้แต่เมียงมอง มองครูตลอดเวลา  ครูใจดีจัง ฉีดยา ให้น้ำเกลือ เป็นไข้หวัดใหญ่

จ่ายค่ารักษาพยาบาลเจ้าเพีย เจ้าสาม ไป ห้าร้อยเจ็ดสิบสามบาท

แม่จึงพาลูกกลับ ครูขอไปส่งถึงบ้านเช่านะ เพราะพรุ่งนี้ครูจะเอาข้าวสาร เอานมมาให้ จะได้มาถูก  เป็นเจตนาที่ครูอยากเข้าบ้านของคนที่ค่าเช่ารายวัน อยากเห็น

เดินเข้าชุมชน  ทุกคนมองตั้งแต่ปากซอยจนถึงบ้านเช่า  เห็นแล้วตกใจ

บ้านเช่ารายวันหรือ  มันเป็นแค่ที่ “ซุกหัวนอน”

ลักษณะบ้าน เป็นบ้านที่ปลูกสองชั้น ชั้นบนเป็นที่พักของเจ้าของ

ชั้นล่างเป็นซอยออกเป็นสองห้องเล็ก กว้างประมาณเมตรห้าสิบ ยาวประมาณเมตรห้าสิบ สูงประมาณเมตรเดียว  แค่นั่ง หัวเกือบชนเพดานห้อง ในห้องมีกองเสื้อผ้า กองจานข้าว มีกระกระเป๋าเอกสารของลูก ที่นอนที่มีกลิ่นเหม็นอับ

แต่ก็ต่ออีกหนึ่งห้องสำหรับนอนได้สามคน มีบันไดเล็ก เล็กพาดขึ้นไปนอน แค่ขึ้นไปนอนเท่านั้น มิกล้าชะโงกหน้าเข้าไปดู

ปูด้วยเสื่อน้ำมันขาด ขาด สีเซียด จนไม่เห็นว่าเป็นลายอะไร

ประตูก็ปิดไม่ได้ แค่แง้มไว้เท่านั้น

มีตะปูที่เป็นที่แขวนสิ่งของ ของแห่งเท่านั้น

ครูถามว่า ราคาค่าห้องพัก คืนละเท่าไร  คืนละ 50 บาท มันใช่ที่อยู่ของคนใช่ไหม

แม่เด็กตอบว่ามันดีกว่าพาลูกไปนอนข้างถนน อย่างน้อยก็หลบแดด หลบฝน  แต่ต้องทนอึดอับกับกลิ่นทุกอย่าง มันเป็นที่ซุกหัวนอนของพวกฉัน  ฉันต้องยอมแค่อาศัยนอนเท่านั้น  เพราะจะให้ลูกอยู่แต่ในห้องไม่ไหว ร้อน มาก เพราะไม่มีพัดลม ไม่มีทีวีให้เด็กดู  เด็กจึงวิ่งซนรอบชุมชน

เด็กก็จะโดดด่าว่าไม่รู้จักเกรงใจคนอื่นส่งเสียงดัง

แค่ครูเข้าไปนั่ง...ร้อน และได้กลิ่นเหม็นทุกอย่างไปหมด

ห้องน้ำมีอยู่เป็นห้องอาบน้ำด้วย มีเพียงห้องเดียว แต่คนใช้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่ต่ำกว่า 20 คน  ได้แต่มอง ตั้งคำถามในใจอยู่กันได้อย่างไร

นางทีบอกว่า มันเป็นแค่ที่ “ซุกหัวนอน”  มันยังดีกว่าที่พักแถวปอยเปต  แย่กว่านะครู

เอ้อ ใช่เป็นจริง ที่ปอยเปตแย่กว่าที่ห้องนี้แน่นอน

เจ้าของเขาเก็บเฉพาะครอบครัวฉัน 50 บาท แต่คนอื่นสามห้อง เขาเก็บคนละ 60 บาทคนเดียวนะ  อย่างบนหัวชั้น (หมายถึงอีกห้องที่อยู่ชั้นบน 3 คน เป็นผู้ชายหมด ได้วันละ 180 บาท อีกสองห้องก็เหมือนกัน รายได้วันหนึ่งเกือบ 600 กว่าบาท )

เห็นสภาพแล้วมันก็ไม่น่าอยู่  นางทีบอกว่าเขาไม่มีทางเลือกหรอก คนกัมพูชาที่ยากจนอย่างนี้ก็ดีถมไปแล้ว  มันอยู่ตรงกลางของการเดินทางครู ไปไหนสะดวกแต่ก็ต้องระวังอันตรายด้วย  เพราะจะถูกจับกันบ่อย  อย่างสองวันนี้ฉันกับครอบครัวค้างค่าเช่ามาสองวันแล้ว เพราะสองไม่สบาย ร้อยพวงมาลัยไม่ได้ และออกไม่ขอไม่ได้

ลูกก็ซนอึดอัดอยู่แต่ในห้อง ส่งเสียงดัง เจ้าของมาเตือนสี่ครั้งแล้ว บอกว่าถ้ามีเสียงดังอีกครั้งจะไล่ออก  ฉันก็ต้องจำนนนะครู มันไม่มีทางเลือก

ห้องนี้หรือ..ครูสงสัยมาตลอดเรื่องค่าห้องคืนละ 50 บาท

วันนี้ได้เห็นกับตา  เวลาของเยี่ยมบ้านของกลุ่มแม่และเด็กขอทาน จึงไม่ยอมให้มาเยี่ยมบ้าน  บางคนบอกว่ามันยิ่งกว่ารูหนู 

สำหรับครูเองก็เดินในชุมชนแออัดมามาก แต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะซอยในบ้านของชุมชนแออัดเป็นห้องเล็ก ห้องน้อยอีก  เพิ่งเห็นกับตา

ห้องเล็ก แต่ความเหม็นอับในห้อง ความชื้นของห้อง มันไม่เหมาะสำหรับเด็ก

เสียงเจ้าเพีย ซึ่งกำลังนอนอยู่เพิ่งกินยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบ บอกว่าครูครับ พวกผมไม่มีทางเลือก ผมเองกับน้องก็อยากมีบ้านเหมือนกัน  แต่ผมมันจน ผมไม่มีที่ดิน ไม่มีบ้าน  แค่ผมมีที่ซุกหัวนอนก็บุญแล้ว  ดีกว่าจะต้องไปนอนในสถานกักกันสวนพลู

ครูเดินออกมาห้องเช่า เดินมาหน้าชุมชน หันกลับไปมองอีกคะว่า คนไม่มีทางเลือกจริง จริงใช่ไหม  สถานที่เหล่านี้ มันเป็นแค่ “ที่ซุกหัวนอน”