banner
พุธ ที่ 15 เดือน กรกฏาคม พ.ศ.2558 แก้ไข admin

ชีวิตคนค่าเท่ากันไหม

                 ขึ้นชื่อว่าถนน ทุกคนที่ใช้ถนนคงได้เห็นถึงความสกปรก ขยะก็เต็ม สีดำที่เห็นเกาะพื้นดำสนิทมาก เวลาใครจะนั่งลงสักครั้งก็คงเห็นว่า นั่งลงไปได้อย่างไร    แต่ถนนในกรุงเทพมหานครเป็นสิ่งที่ช่วยให้คนมีอาชีพทำมาหากินตั้งแต่ นั่งพัก แต่มีคนกลุ่มแม่และเด็กเร่ร่อนต่างด้าวกลุ่มนี้ใช้เป็นที่นั่งขอทาน ใช้เป็นที่นอน ใช้เป็นที่ได้รับอาหารจากคนใจบุญทั้งหลาย  บนถนนของคนกลุ่มนี้จึงมีค่ามาก แล้วขึ้นอยู่ว่าแต่ถนนจะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวมากน้อยเพียงไร  ถ้าถนนล้อมอนุสารีย์ คนต่างจังหวัดเยอะรายได้ที่แม่และเด็กจะได้ก็น้อยไม่พอที่จะมาเลี้ยงคนในครอบครัว  แต่ถ้าเป็นถนนราชดำริก็ต้องขึ้นอยู่ว่าสะพานลอยไหนที่นักท่องเที่ยวเดินข้ามบ่อยๆ  หากเป็นถนนสายสุขุมวิท ตั้งแต่ซอยนานา(สุขุมวิท 3 ขึ้นไปถึง สุขุมวิท 21 )ไปถึงซอยอโศกเป็นเส้นที่นักท่องเที่ยวหลากหลายชาติ ก็จะได้เงินพอเลี้ยงครอบครัว แต่ก็เสี่ยงโดนจับ คนเหล่านี้ก็ต้องเสี่ยงเอาว่าจะเอาอย่างไร...เขาเลือกเองการถูกจับกับการอยู่รอดของครอบครัว...

                เด็กน้อยที่หน้าตาดำ ผิวหนังค่อนข้างดำ บางคนก็ดำสนิท ตัวเล็ก ตาลึกเป็นประกาย ผมยาว เล็บยาว ไม่ใส่รองเท้าวิ่งรอบๆตัวแม่ที่นั่งด้วยการชันเข่า ใส่บางผ้าถุงที่เก่าแก่มาก ดอกลายบนผ้าเลือนหายไปหมดแล้ว พร้อมเสื้อยืดตามคนบริจาค สีขาวค่อนข้างไปทางดำมากกว่า เสื้อบางตัวสีฟ้าก็กลายเป็นดำด้วยการไม่ซัก  พร้อมมีกลิ่นของการไม่ได้อาบน้ำก็มี  เพราะบางคนใช้ชีวิตหลับนอนบนถนนเลยเพราะไม่มีเงินให้ค่าเช่าบ้าน หรือบางครอบครัวเช่าบ้านไว้แต่ไม่มีเงินจ่าย ก็ต้องพาลูกออกมานอนที่ถนน สิ่งเหล่านี้คนทำงานเป็น “ครูข้างถนน” ต้องพูดคุยหาข้อมูลเพื่อหาทางช่วยกลุ่มนี้ บางครอบครัวทั้งแม่นั่งก้มหน้าก้าตา ยกมือไหว้ค้างไว้ พร้อมมีกระป่องเงินวางอยู่ตรงหน้ามีเหรียญบาท เหรียญห้าบาท เหรียญสิบ โชคดีก็จะมีแบงค์ร้อยใส่ลงในกระป๋อง น้อยครั้งที่จะได้  นั่งกันนานคะกว่าจะได้เศษเงินเขามาเลี้ยงเด็กและครอบครัว...ครูหนูก็อายเป็นเหมือนกันนะ ทั้งฝนตก แดดออกร้อนแสนร้อนก็ต้องทน ลูกหนูก็อยากให้เรียนนะ ยิ่งเวลาเจ็บป่วยยิ่งไปกันใหญ่เลยครู  ดีก็แค่ไปซื้อยากิน ยาพาราของครูที่ให้พวกฉันนั้นแหละแก้สารพันเรื่อง ตั้งแต่ปวดหัว ปวดตัว ปวดหลัง ปวดร้อง  กลายเป็นยาเทวดาไปเลย ชีวิตพวกฉันกับลูกเลือกไม่ได้หรอกครู...

 

                เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2557 ครูได้ลงพื้นที่ไปตามปกติพร้อมกับน้องนักศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยากตามการทำงานของครูข้างถนนว่าใช้วิธีการอย่างไรพูดคุยกับกลุ่มแม่และเด็กเหล่านี้  เริ่มต้นด้วยครูมีคำถามว่าจะถามอะไรกับครูหรือเปล่า  ถ้าเดินไปแล้วอาจจะไม่มีโอกาสได้คุยกันนะ.

พบแม่และเด็กนั่งที่ตีนสะพานบันไดขึ้นไปห้างสรรพสินค้าที่อโศก เดินผ่านก็รู้ทันทีว่าแม่และเด็กยังไม่ได้อะไรเลยแน่นอน  แม่ดูแล้วน่าจะอายุไม่เกิน 20 ปี ท่าทางเด็กมาก ส่วนเด็กก็ตัวเหลืองมาก ครูจึงนั่งลงกับพื้นนั่งคุยกับแม่เด็ก

ครู :  มาจากที่ไหน  กินอะไรมากหรือยัง  ครูมีขนมกับนมรับหรือเปล่า

แม่เด็ก :  ยังเลยเพิ่งมานั่งได้ประมาณสักห้านาที  ให้ลูกกินนมก่อนไหม..

ครู :  ทำไมเด็กหลับตาตลอดเลย ตัวเหลืองเป็นอะไรไปหรือเปล่า...เด็กกินอะไรหรือยัง

แม่เด็ก น้องเจม ป่วยมาอาทิตย์หนึ่งแล้วป้า...ซื้อยาให้กินก็ไม่ดีขึ้นเลย  เมื่อวันเสาร์ที่แล้วฝรั่งเมาเดินมาเหยียบน้องเจมที่ตีน  ตีนปวมมากเลย ไปซื้อยาแก้อักเสบกับลดไข้ ที่เป็นขวดๆ มาให้กิน กินแล้วก็ยังไม่หายเลย ....วันนี้หนูไม่มีเงินเลยจึงพาลูกออกมา คิดว่าถ้าได้เงินจะพาลูกไปหาหมอ  แต่มาเจอป้าเสียก่อน....ไม่อยากเล่าให้ป้าฟังหรอก แต่หนูกลัว ลูกหนูตาย....หนูอยากพาลูกไปโรงพยาบาล

ครู :  เธอเชื่อใจป้าไหม..พาลูกไปโรงพยาบาลกันไปไหม....แม่เด็กพยักหน้า   ครูไม่ได้พาเธอ ไปหาตำรวจนะ  หน้าที่ของครูต้องการให้เด็กได้รับโอกาสในการรักษาพยาบาล  ทุกครั้ง  

บทบาทของครูทำหน้าที่คือเสนอแนวทางให้  แต่เคสจะเอาหรือไม่เอาต้องให้เคสตัดสิน
ในเรื่องเหล่านั้นด้วยตัวของเคสเอง

                 หลังจากที่ทุกฝ่ายได้ตกลงกันทั้งครู แม่เด็กน้องเจม และนักศึกษาถือว่าต้องมีส่วนร่วมด้วย พวกเราก็ยืนคอยรถแท๊กซี่ว่าจะพาเคสไปที่โรงพยาบาล แถวๆสุขุมวิท 39 กว่าครึ่งชั่วโมง ไม่มีรถแท๊กซี่สักคันเลย และรถติดมาก  พวกเราก็ปรึกษากันต่อถ้าอย่างนั้นพากันขึ้นรถไฟฟ้า BTS ไปลงอนุสาวรีย์ ไปโรงพยาบาลแถวนั้น ซึ่งมีหลายโรงพยาบาล  ในขณะนั้นเด็กเกิดอุจจาระลาด สองสามครั้ง  ทั้งครูและแม่เด็กต่างก็ช่วยกันเช็คกันความสะอาดเด็ก  แต่ในใจครูกังวลมากกลัวว่าเด็กจะไปรอดเพราะอาการอย่างนี้ น่าจะเป็นโอกาสสุดท้ายขอเด็ก ถ้าถ่ายออกเป็นเป็นสีเทาก็หมดหวัง  แต่ครูเองก็ทำใจว่าสู้กันอีกยกหนึ่ง เพื่อชีวิตของไอ้ตัวน้อยคนนี้..

                คณะที่พวกเราขึ้นรถไฟฟ้าจากสถานีอโศก มาถึงอนุสาวรีย์ใช้เวลา 20 นาที  บนรถไฟฟ้าในช่วงเย็นก็แน่นไปด้วยคนที่แน่นแบบปลากระป๋อง เพรราะทุกคนก็อยากเดินทางกลับบ้านของตนเองกันทั้งนั้น  พวกเราจึงต้องเบียดขึ้น โชคดีที่มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งลุกให้แม่และเด็กนั่ง  เด็กก็ร้องไห้อุจจาระของเด็กก็ออกมาตลอดเวลา กางเกง สองสามตัวเปลี่ยนกันตลอด  เสียงนักศึกษาถามว่าครู  ที่เขาว่ากลุ่มแม่และเด็กที่เป็นแก๊งค์ขอทาน เป็นพวกค้ามนุษย์ ครูคิดว่าอย่างไร  ครูจึงชี้ให้นักศึกษาดูว่าแม่เอานมยัดใส่ปากลูกที่กำลังให้ลูกกินนม เห็นภาพนี้ ใช่ค้ามนุษย์ไหม....ลองหาคำตอบเอง  ถ้าไม่ใช่แม่เขาจะไม่เดินตามพวกเราพาลูกมาโรงพยาบาลหรอก  เพราะเขาไม่รู้จักเรา  แต่ที่เขาเดินตามเรามาโรงพยาบาลครั้งนี้เพราะเขาก็ต้องการให้ลูกเขาได้หายได้รักษาที่โรงพยาบาล  ถ้าพวกเขาพากันไปเอง  พวกเขาจะไม่ได้รับการรักษา  เดี่ยวเราลองดูว่าพวกเราจะเจออะไรกันบ้าง    นักศึกษาถามต่อว่า  ถ้าโรงพยาบาลเขาไม่รับรักษา  หน้าที่ของครูคือการต่อรองให้กลุ่มแม่และเด็กเร่อนกลุ่มนี้ได้รับการรักษาไปก่อน  อย่างอื่นคอยมาพูดคุยกัน....เดี๋ยวพวกเราลองดูนะ..

                เมื่อลงจากรถไฟฟ้าสถานีอนุสาวรีย์ พวกเรากับแม่ก็ต้องวิ่งคะ เพราะอาการของเด็กเริ่มหายใจขัดๆแล้ว รีบวิ่งกันมาที่โรงพยาบาลราชวิถีก่อน ไปที่ฝ่ายคัดกรอง 

 คำถามแรกของเจ้าหน้าที่  ใช่คนไทยไหม

ครู :  บอกว่าไม่ใช่  เป็นกลุ่มแม่และเด็กเร่ร่อนชาวกัมพูชา

เจ้าหน้าที่ :  ที่โรงพยาบาลไม่มีหมอที่จะรักษาเด็ก และที่สำคัญไม่เครื่องมือสำหรับเด็กเลย ขอให้ไปโรงพยาบาลเด็ก ที่อยู่ถัดจากเราไป 

        ขณะที่เจ้าหน้าที่อธิบายเราเด็กก็อุจจาระมาอีก แต่คราวนี้ไหลเป็น น้ำเลย  เจ้าหน้าที่ก็รีบไล่ให้เราไปห้องน้ำแล้วก็รีบไป โรงพยาบาลโน้นเลยนะ  ครูโกรธมาก แต่ไม่ได้แสดงออกมา รีบพากันไปห้องน้ำ รีบล้างก้นเด็ก เปลี่ยนกางเกงใหม่หมด 

                แล้วพวกเราก็พากันอุ้มเด็กพร้อมกระเป๋าของแม่มาที่โรงพยาบาลเด็ก  มาถึงก็ถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ชี้ว่าคุณต้องมาที่ชั้นหนึ่งก่อน  แล้วคอยไปชั้นสอง ซึ่งในขณะนั้นโรงพยาบาลกำลังมีการก่อสร้างอยู่ แผนกงานเด็กทั้งหมดต้องย้ายไปอยู่ด้านหลัง พอมาถึงฝ่ายคัดกรองก็บอกว่า เป็นอะไรกับเด็ก คุณเป็นใคร  พอเห็นเด็กก็ไล่ขึ้นชั้นสอง หน้าห้องฉุกเฉิน พยาบาลหน้าห้อง ก็ถามว่าคุณเป็นอะไรกับเด็กปากก็พูด แต่มือก็จับตัวเด็ก ยกชั่งน้ำหนัก แล้วก็ถามว่าเด็กตัวเหลืองมาก  พยาบาลอีกคนก็วิ่งเข้าที่ห้องฉุกเฉินตามคุณหมอ   คุณหมอก็ให้แม่เอาลูกใส่เครื่องพ่นที่ปากที่จมูกก่อน  เด็กก็สำลักออกมาทั้งเลือดและเสมหะเต็มไปหมด อุจาจาระก็ไหล   คุณหมอก็มองครู  ครูก็ไม่ได้สนใจรีบพากันไปทำความสะอาดตัวเด็กก่อนเลย  พยาบาลเดินมาที่ห้องน้ำเอาชุดเด็กพร้อมมาขนหนูมาให้เช็คตัว  แล้วก็บอกคุณปล่อยเด็กให้อาการหนักอย่างนี้ได้อย่างไร  เสร็จแล้วรีบไปห้องฉุกเฉินเลยนะ

                เมื่อเข้าห้องฉุกเฉินครั้งนี้สอง  คุณหมอก็มายืนล้อมเด็กจำไม่ผิดเลยคุณหมอสี่คน พร้อมกับพยาบาล อีกสามคน  ช่วยกันใช้เครื่องชุดใหญ่ใส่ที่ทั้งปากและจมูก ส่วนนางพยาบาลก็กดตัวเด็ก ซึ่งในขณะนั้นทุกคนไล่ครูและแม่ออกไปข้างนอกก่อน  ครูจึงมาบอกนักศึกษาให้กลับไปก่อนเพราะเวลากว่าสองทุ่มแล้วไม่ต้องห่วง เดี๋ยวครูจัดการเอง   ก่อนกลับนักศึกษาวิ่งไปซื้อน้ำ นม ขนม และแพมเฟิลสำหรับเด็ก  ทั้งแม่และครูในใจต่างไม่ดีกันเลย  ครูพยายามแบบใจเย็นมากๆ ต้องตั้งสติให้ดีจะปลอบโยนแม่อย่างไร ถ้าเด็กอาการหนักขนาดนี้ ประเมินจากทั้งคุณหมอและพยาบาล  สุดท้ายคุณหมอก็เรียกครูเข้าไป

คุณหมอ :  ครูไปเจอเด็กที่ไหน  อาการของเด็กหนักมาก ถ้าต้องให้รอดต้องใช้เครื่องช่วย หายใจชุดใหญ่นะ  แต่ทางเราจะดูแลอย่างเต็มที  แต่ยังไม่รู้นะต้องดูอาการในแต่ละวันของเด็กก่อน  ต้องใช้เงินพอสมควร  ครูไหวไหม

ครู :  ขอปรึกษา ครูหยุยก่อนนะ ขอเวลา ห้านาที  ซึ่งในใจครูจะมีคนมามอบเงินให้จำนวน 50,000 บาท จากการทำสมุดทำมือ จะมามอบวันเสาร์หน้าแต่ขอใช้ก่อน  จึงโทรหาคนที่จะมอบให้ทันทีของใช้เงินก่อน  แล้วจึงโทรบอกครูหยุยว่า ครูพาเด็กมาที่โรงพยาบาลเด็กอาการติดเชื้อในปอดรุนแรงมากจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจขออนุมัติเงิน  ซึ่งครูหยุยก็บอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ ขาดอีกห้าหมื่น สำรองไว้ก่อนหนึ่งแสนบาท  ครูจึงเดินไปหาคุณหมอ ซึ่งในขณะนั้นทุกคนกังวลกันมากเห็นสีหน้าทุกคน  ครูจึงบอกว่า คุณหมอจัดการเลยคะ ใช้เครื่องช่วยหายใจให้เด็ก เรื่องค่าใช้จ่ายทางเรามีจ่ายแล้วคะ

คุณหมอ :  ทุกคนยิ้มออกมา  แล้วเดินเชิญครูนั่งเพื่ออธิบายขั้นตอนการรักษาพยาบาล ว่าต้องทำอะไรบ้าง  ค่ารักษาพยาบาลต้องจ่ายอะไรบ้าง 

                สำหรับครูในขณะนั้นในใจมันยิ้มคะ  อย่างน้อยสุดเราทำเต็มที่ เราสู้กันอีกยกสำหรับค่าใช้จ่าย และที่สำคัญสุดการทำงานอย่างนี้มันต้องใช้ใจต่อใจกับทุกภาคส่วน  แล้วก็เริ่มการจ่ายเงินในคืนนี้โดยการซื้อยา จ่ายค่าเอ๊กเรย์  ค่าตรวจเลือด ค่าตรวจปัสสาวะ ค่าตรวจอุจจาระ ทุกอย่างเร่งด่วนหมดคะ  ครูวิ่งขึ้น-วิ่งลงระหว่างชั้น สาม ชั้นสี่ เป็นสิบรอบ  แต่มันมีความสุขคะ..กว่าจะเสร็จทุกอย่างในคืนนั้นก็เกือบเที่ยงคืน  ในขณะที่เจ้าหน้าทีเข็นรถเด็กชายเจม   เจ้าหน้าที่หันมาบอกว่า  ครูวันนี้ครูทำบุญกับหนึ่งชีวิตเลยนะ  เด็กคนนี้รอดเพราะครูตัดสินใจนะ...ครูได้แต่ยิ้มคะ....แต่ในใจครูคิดไปถึงระบบสาธารณะสุขของคนต่างด้าวต้องเป็นจริงอย่างไร  ถ้าวันนี้ครูไม่มีเงินไม่มีหน่วยงานเด็กคนนี้ตายใช่ไหม.....ไม่คิดจะโทษใครนะ... แต่ต้องคิดต่อว่าแล้วคนกลุ่มนี้จะเข้าระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลอย่างไร  คืนนี้เราจ่ายทั้งหมดไป 15,650 บาทเป็นเงินสด  เหนื่อยกายเพราะวิ่งมากไปหน่อยพร้อมทั้งลุ้นตลอดเวลาแต่สบายใจคะ

 


 

 

                ในช่วงเช้าขอวันรุ่งขึ้น ครูจึงได้มีโอกาสเตรียมข้าวของเครื่องมาเยี่ยมน้องเจมทุกวัน  น้องเจมรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทั้งหมดจำนวน 12 วัน  สามวันแรกยังลุ้นอยู่คะ น้องเจมยังหลับสนิทอาการยังเหมือนหนักอยู่  คุณหมอก็ปลอบใจครูทุกวัน  ส่วนแม่เด็กก็ให้เฝ้าลูก แม่เด็กน้อมน้อบมาก  ครูขอเพียงอย่างเดียวในขณะที่ลูกป่วยขอให้แม่หยุดทุกอย่างเฝ้าลูกให้หายก่อน   ค่ารักษาพยาบาลของเด็กทางครูรับผิดชอบเองพร้อมอาหารการกินของแม่  ซึ่งทางโรงพยาบาลจะจัดอาหารให้แม่เด็กเพิ่มให้อีกหนึ่งทุกวัน  ครูจะมาเยี่ยมทุกวัน จนทั้งคุณหมอและพยาบาลแซวว่าเป็นลูกครูเมื่อชาติที่แล้ว   ทุกครั้งในช่วงสามวัน ที่ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ครูจะเข้าไปกอดทุกครั้งกระซิบว่าเจ้าน้องเจมหนูต้องสู้ด้วยนะ อย่าให้ครูสู้อยู่คนเดียว สู้ด้วยกันจ๊ะ ฟื้นกลับมาเป็นน้อเจมคนเก่งของป้าอีกครั้ง  นั่งภาวนาด้วยกันเป็นครึ่งชั่วโมง  ถ่ายทอดความรักความปราถนาดีด้วยกันทุกวัน  วิกฤติครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างให้เด็กเร่ร่อนต่างด้าวอีกหลายหมื่นคนเลยนะ

  

     
 

 

                ค่ารักษาพยาบาล ทางเราจะจ่ายกับทางโรงพยาบาลทุกสามวันครั้ง  น้องเจมใช้เวลาในการรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 12 วัน หมดค่าใช้จ่ายไปทั้งสิ้นจำนวน 52,236 บาท  ฝ่ายนักสังคมสงเคราะห์เชิญครูไปพบ  แล้วอธิบายถึงการซื้อหลักประกันสุขภาพให้เด็กกลุ่มนี้  โอ้โฮฟังแล้วใจมันชื่นเลยคะว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่าย รีบเดินไปที่โรงพยาบาลราชวิถีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในใจก็ไม่กล้านะ...เพราะเพิ่งโดนปฏิเสธเคส  แต่ก็ไปฝ่ายขายหลักประกัน ไปถึงบอกว่าจะมาซื้อหลักประกันให้เด็ก  เขาบอกว่าต้องให้พ่อแม่มาและต้องมีพาสเปอร์ครบ เอกสารครบทุกอย่างถึงจะซื้อให้ได้ คุณเป็นใคร...มาซื้อให้เด็กไม่ได้  เดินงอย คอตก กลับมาเลยคะ...ไม่เป็นไรมันต้องมีหนทางให้คนเหล่านี้ซิ จะจนปัญญาโดยไม่มีหลักประกันให้คนเลยหรือ... 

 

 
  

 

  

 นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก