banner
เสาร์ ที่ 13 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2561 แก้ไข admin

ใบรับรองการเกิด/ใบเกิด...ลูกกรรมกรก่อสร้างต่างด้าว




นางสาวทองพูล  บัวศรี

ผู้จัดการโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

          ครูค่ะ  ทางโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ขอเพิ่มพื้นที่การทำงาน ช่วงนี้ทางราชการไม่อนุญาตให้เด็กที่ผู้ปกครองไม่มีเอกสาร ทำงานไม่ได้ 

ครูตอบ....ครูซิ้ม ว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะกวาดล้างแรงงานเถื่อน  แต่ความเป็นจริงที่อยู่ในบ้านพักคนงานก่อสร้าง จะมีครอบครัวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย  และเด็กที่เกิดในประเทศไทยไม่มีเอกสาร   นโยบายดีแต่ทางปฏิบัติยังบกพร่องโดยสุจริตในหน้าที่ของผู้บังคับใช้กฎหมาย  เป็นเรื่องปกติของประเทศไทย

          ครูซิ้ม  ถามต่อว่า  จะขอเปิดพื้นใหม่

ครูจิ๋ว.....ตอบ   ได้เลยจ๊ะ เพราะครูอยากให้มีการสำรวจพื้นที่เพิ่มมากขึ้น  ทางโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่จึงมีการสำรวจพื้นที่  เพื่อแทนพื้นที่เก่า ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว

          พื้นที่ ที่มีการสำรวจใหม่

          1.พื้นที่ของบริษัท ปรีดา โฮลดิ้ง  จำกัด   ที่ก่อสร้างคอมโดนิเนียม 

          2.พื้นที่ของบริษัทแสตนดาร์ด เพอร์ เพอร์ แม๊นช  กำลังก่อสร้างโรงแรมพีเคพาเลช

          3.พื้นที่ของบริษัทชิโนไทย จำกัด ที่กำลังก่อสร้างอาคารรัฐสภาหลังใหม่ อยู่ฝั่งใกล้วัดเขมาภิตาราม  ซึ่งอยู่กันหลายบริษัท  มีพื้นที่กว้างมาก จำนวนห้องพักกว่าสามพันห้อง

          4.พื้นที่ของบริษัทชิโนไทย จำกัด ที่กำลังก่อสร้างอาคารรัฐสภาหลังใหม่ บ้านพักของกรรมกรก่อสร้างอยู่ฝั่ง  ติดกับบริษัท

          5.พื้นที่ของบริษัทรวมนครก่อสร้าง(ประเทศไทย) จำกัด  กำลังก่อสร้างอาคารของนิวเคลียร์  ที่ใกล้กับอาคารศิลปะร่วมสมัย

          6.พื้นที่ของบริษัทโกลเด้น แลนด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด  ใช้พื้นที่รกร้างสร้างเป็นบ้านพักของกรรมกรก่อสร้าง ที่ซอยแสงระวี 5 เมืองทอง


 

          ทุกพื้นที่ ได้ลงไปทำงานกันมาสักระยะเวลาหนึ่ง   การลุยอย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสได้ทำงานที่หลากหลายรูปแบบด้วยกัน  กิจกรรมการเรียนการสอน  การทำงานกับกรณีศึกษาแต่ละเรื่อง  แล้วลงปฏิบัติงาน คือประสบการณ์ที่ต้องเรียนรู้  ทั้งกฎหมายที่เปลี่ยนแปลง และรายะเอียดปฏิบัติแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เหมือนกันเลย

          ครูค่ะ  พื้นที่ที่น่าห่วงที่สุดคือ  ซอยแสงระวี 5 เมืองทอง  เพราะบ้านพักของคนงานสร้างแบบติดดิน  เป็นพื้นที่รกร้างมาก   บ้านพักคนงานปลูกอยู่กับน้ำที่มีพื้นแฉะมาก เป็นสังกะสีที่ไม่มีความมั่นคงเอาเลย   และยังมีปัญหาอื่นๆอีก เช่น

          1.มีเด็กที่อยู่กับแม่กว่า 11 ครอบครัว ส่วนมากเป็นเด็กอ่อนที่เกิดในประเทศไทย  ครั้งแรกที่เข้าไปพบดูเหมือนไม่เป็นเอาเลย  ถามคำตอบคำ  เหมือนครูจะเข้าไปเอาผลประโยชน์   ขาดความเชื่อมั่นแล้วเก็บตัวอย่างมาก

          2.มีเด็กที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ในช่วงอายุ 5-7 ปี ที่ติดตามครอบครัวมากอยู่ในบ้านพักคนงาน  ทั้งเด็กและแม่เด็กจะเก็บตัวกันอยู่อย่างเงียบๆ  ด้วยเหตุผลคือพูดไทยกันได้น้อยมาก

          3.เด็กจำนวนหนึ่งที่เกิดในประเทศไทยแล้วไม่มีใบรับรองการเกิด / ใบเกิดของเด็ก  ครอบครัวเด็กเหล่านี้ต้องเสียให้กับนายจ้าง  เดือนละ 2,000 บาท เป็นค่าคุ้มครอง หรือไม่ต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง  ในขณะนี้ทุกครอบครัวมีปัญหาเรื่องเอกสารของเด็ก   ทางครอบครัวไม่อยากเสียเงินเหล่านี้  เพราะถ้ามีเอกสารเงินเหล่านี้ยังเป็นค่าอาหารและนมของเด็กได้

          4.เมื่อพูดภาษาไทยและสื่อสารกันไม่ได้  ครอบครัวเหล่านี้จึงเก็บตัวกันอย่างเงียบๆ  จึงรับการสื่อสารจากนายจ้างเท่านั้น  ซึ่งบางครั้งก็มีการเอาเปรียบ  และมีคำขู่ว่าถ้าออกจากบ้านพักของกรรมกรก่อสร้างจะมีการถูกจับ  และต้องส่งกลับประเทศต้นทาง

          5.ครอบครัวโดยส่วนใหญ่เข้าเมืองผิดกฎหมาย  การทำงานก็เป็นแรงงานเถื่อน  แต่รายได้เหล่านี้ช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว  ครอบครัวเหล่านี้จึงทนอยู่ด้วยความลำบากแต่ยังพอมีอยู่มีกินเลี้ยงคนในครอบครัวได้  แต่ถ้ากลับไปประเทศต้นทาง สิ่งที่พบคือการไม่มีงานทำและอดยาก  เด็กก็พลอยอดไปด้วย  ทุกคนเลือกที่จะอยู่ทำงานต่อ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ทนได้

          6.มีกลุ่มคนที่เคยเป็นนายจ้างที่จะช่วยดำเนินการเรื่องการทำเอกสารให้ถูกกฎหมายไทย ทั้งการมีพาสสปอต์ และการขึ้นทะเบียนแรงงาน ทำเอกสารของลูกที่ถูกกฎหมาย   คนงานก่อสร้างเหล่านี้ถูกหลอกเอาเงินไป  ครอบครัวละหลายหมื่นบาท  ทำให้ขาดความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากผู้คนที่แปลกหน้าเข้ามา ในบ้านพักกรรมก่อสร้างที่พวกเขาอาศัยกันอยู่

          7.เมื่อไม่มีใบเกิดของลูก  เมื่อลูกป่วยขึ้นมาต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก  เพราะไม่มีเอกสารของเด็ก  เมื่อครอบครัวไม่มีเงิน โอกาสที่เด็กเล็กจะหาหมอได้ยามารับประทาน หรือเข้าถึงสวัสดิการด้านสาธารณสุขก็หมดไปทันที  เพราะครอบครัวไม่มีเงินจ่าย

          สิ่งเหล่านี้ทางครูซิ้ม กับครูจอย ได้มีโอกาสพูดคุย ซักถาม สร้างความไว้วางใจหลายสัปดาห์อยู่  สิ่งที่ ทุกครอบครัวอยากให้ทางโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ช่วยเหลืออันดับแรก  คือ การได้ใบเกิดของลูก   เพื่อต้องการเอาเงินที่จะเสียให้นายจ้างมาเป็นค่านม ค่าขนม ค่าอาหารให้ลูก  และมีผลระยะยาวว่าเงินจำนวนนี้สามารถเลี้ยงดูเด็กได้  มีเอกสารยืนยันความเป็นแม่ลูกกันอย่างถูกต้อง  มีโอกาสที่จะรักษาพยาบาลเมื่อเด็กเจ็บป่วยขึ้น  ได้ฉีดวัคซีนตามกำหนดของเด็กทุกคน

          ทางครูซิ้ม กับ ครูจอย  ได้นำเรื่องราวของแต่ละครอบครัว มาพูดคุยกับครู  หาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน  เพื่อให้เด็กได้รับประโยชน์สูงสุด   ทางโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่จึงต้องทดลองดำเนินการช่วยเหลือทีละครอบครัว

 

          กรณีศึกษาที่ 1  เป็นเด็กอายุ ประมาณสัก 1 ปี เกิดเดือน พฤศจิกายน 2560  ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า  ทางโรงพยาบาลให้ใบรับรองการเกิดมาแล้ว    แต่ทางครอบครัวยังไม่ได้ดำเนินการไปแจ้งเกิด  ใบรับรองการเกิดหาย  จึงไม่ได้ทำเรื่องใดๆต่อ 

          ด้วยทั้งแม่และพ่อเพิ่งมาอยู่ประเทศไทยได้เพียง 2 ปี มีปัญหาเรื่องการสื่อสารภาษาไทย  กลัวการถูกจับ  ทั้งครอบครัวจึงเก็บตัวอยู่กันอย่างเงียบๆ  ยอมให้นายจ้างเก็บเงินเดือนละ 2,000 บาท  นายจ้างบอกว่าเป็นค่าคุ้มครองเพราะลูกไม่มีเอกสาร

          การเพิ่มความกลัวมีมากกว่านั้นอีก  เมื่อครอบครัวได้ให้เงินเป็นหลักหมื่นกับนายจ้างที่จะดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย  แต่นายจ้างหายเข้ากลีบเมฆไปเลย  ทิ้งคนงานเหล่านี้ให้เผชิญชะตากรรมกันเอง

          ลูกคนเล็กที่อยู่กับครอบครัวที่เมืองไทย  มีอาการเจ็บป่วยบ่อยมากเพราะสภาพแวดล้อมที่มีแต่น้ำส่งกลิ่นเหม็นตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน   จึงมีปัญหาเรื่องระบบหายใจ หาหมอเป็นประจำ เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาครั้งละ ห้าร้อยจนถึงพันบาท  บางเดือนหมดกับค่ายาของลูกแทบไม่มีกินกันเอาเลย

          สิ่งที่ทางโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ดำเนินการ

          1.การสืบเสาะ ค้นหาข้อเท็จจริงของครอบครัว  เน้นการสร้างความสัมพันธ์การไว้เนื้อเชื่อใจ  ซึ่งแม่เด็กเองก็กลัวเอามากๆ   เพราะเพิ่งจะโดนหลอกเอาเงินไป   ทางครูซิ้ม กับครูจอย  จึงต้องใช้ความพยายามเป็นสองเท่าตัว  และเปิดอกเปิดใจพูดคุยการกันอย่างหมดเปลือก  ใช้ความจริงใจและข้อเท็จจริงให้กับแม่เด็ก

          2.เมื่อได้ข้อมูลและความไว้ใจจากแม่  จึงพากันไปที่โรงพยาบาลนั่งเกล้า  ไปฝ่ายระเบียบว่ามาขอใบรับรองการเกิด  ว่าพ่อของเด็กมารับไปแล้ว แต่ได้ทำหาย  ทางโรงพยาบาลก็พยายามตรวจค้นหารายชื่อ(ต้นคั่ว)ของใบรับรองการเกิด  ว่ามีอยู่จริง  แต่ปัญหาของแม่และพ่อตอนนี้ไม่มีเอกสารแสดงตัว  จึงต้องมีใบบันทึกประจำวัน จากสถานีตำรวจ

          3.ครูซิ้ม กับครูจอย  พากันขับรถไปที่สถานีตำรวจรัตนาธิเบศ  พร้อมกับแม่ของเด็ก  เพื่อไปลงบันทึกประจำวัน เรื่องใบรับรองการเกิดของลูกหาย   ทางตำรวจก็ทำบันทึกให้  แต่อีกนัยยะหนึ่งตำรวจสามารถที่จะจับแม่ได้ตลอดเวลาที่อยู่บนโรงพัก  เพราะไม่มีเอกสารใดๆแสดงตัว  และการเข้าเมืองผิดกฎหมาย  และอาศัยในประเทศที่ไม่มีเอกสาร  ความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522  ทั้งสองกรณีนี้  จำคุก 1 ปี ปรับ 12,000 บาท  ช่างโชคดีที่ตำรวจเองก็ไม่ได้มองประเด็นนี้   ลงบันทึกประจำวันให้กับแม่เด็กและครูมา 

          4.กลับมาที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าอีกครั้ง เพื่อถ่ายเอกสารต้นคั่วของรับใบรับรองการเกิดที่โรงพยาบาล   พร้อมกับนำใบบันทึกประจำวันมอบให้แทน

          5. ทั้งครูพร้อมแม่กับเด็ก ก็วิ่งตรงไปยังเทศบาลนครนนทบุรี เพื่อขอใบรับรองการเกิดของ เด็กตัวน้อย  ที่สายตาบ่งบอกว่าเขากำลังทำอะไรกันให้หนูน้อย  ในสายตาที่บ่องแบ้วมากๆ ไปฝ่ายทะเบียนของเทศบาล ของแจ้งเกิดเกินกำหนดของเด็กต่างด้าว   เจ้าหน้าที่ก็จ้องมายังครูซิ้มทันที  ถูกสอบถามว่าเป็นอะไรกับแม่กับเด็ก  ครูซิ้มต้องอธิบายถึงงานของโครงการว่าดำเนินการช่วยเหลือเด็กเหล่านี้อะไรบ้าง  ทางเจ้าหน้าที่ของถ่ายบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯและบัตรประจำตัวเป็นหลักฐาน  และให้ครูซิ้มเซ็นเป็นพยานในเอกสารด้วย   ต่อด้วยว่าครูกล้าเซ็นด้วยหรือ

          ครูซิ้มได้อธิบายต่อว่า ยินดีเป็นอย่างยิ่งถ้าเป็นการสร้างโอกาสให้เด็กได้รับใบเกิด  เพราะทุกอย่างเป็นผลดีกับครอบครัวของเด็ก และเด็กได้รับประโยชน์ ตามสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรได้รับ

          สำหรับในกรณีศึกษานี้ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันได้รับใบเกิด  แต่มีหลายขั้นตอนมาก  สิ่งเหล่านี้เป็นการเรียนรู้   แม่เด็กยังย้อนถามครูซิ้มว่า คิดเท่าไร  ครูจึงต้องอธิบายอีกว่า เป็นหน้าที่ของครูที่ได้ทำ เพราะเป็นการสร้างโอกาสให้เด็ก และเป็นงานในหน้าที่ 

          เรื่องเล่าขานในการทำงานให้กับกรณีศึกษานี้  จึงมีกลุ่มเด็กที่ต้องการใบเกิดตามมาอีกหลายครอบครัว  สิ่งเหล่านี้คือประสบการณ์ในการทำงาน  ต้องลงมือทำเท่านั้นถึงจะได้เรียนรู้

 

          กรณีศึกษาที่สอง  เป็นสองพี่น้อง  คนพี่ชื่อขิงเอ๋อ  อายุ 6 ปี   คนน้องชื่ออุงอิง อายุ 4  ปี ไม่มีใบรับรองการเกิดทั้งคู่  พ่อทำงานคนเดียวซึ่งต้องเสียเงินเดือนละ 4,000 บาท ให้กับนายเจ้าในฐานะผู้คุ้มครอง  ลักษณะนี้ครูถือว่าสูบเลือดกับปู  เป็นการเอาเปรียบกันอย่างชัดเจน    งานนี้เด็กสองคนจูงมือแม่มาหาครูซิ้ม กับ ครูจอย  ที่กำลังสอนหนังสือให้เด็ก

          ในขณะนั้นครูได้ดำเนินการช่วยเหลือกรณีศึกษาที่หนึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว  แต่กรณีศึกษานี้ค่อนข้างที่จะยากกว่ากันเยอะมา ต้องศึกษาหลายขั้นตอน  มีเรื่องชื่อของทั้งพ่อและแม่ไม่ตรงกันในเอกสารของลูก  กับพาสสปอร์ตที่พ่อกับแม่ถือ

          สิ่งที่ทางโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ดำเนินการ

          1.การสืบเสาะ ค้นหาข้อเท็จจริงของครอบครัว  โดยแม่เปิดเผยข้อมูลตั้งแต่แรก  มีอะไรก็เล่าทุกอย่าง  เพราะคิดว่าบอกความจริงทุกอย่างเรื่องมันจะง่ายขึ้น   สำหรับกรณีนี้ครูซิ้ม กับครูจอย  จึงต้องใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว  ยิ่งเล่าก็ยิ่งเห็นว่าพ่อแม่ปิดบังเรื่องการใช้ชื่อที่แตกต่างกัน  (คนกัมพูชาชอบเปลี่ยนชื่อตัวเองไปเรื่อยๆ   พอจะทำเอกสารอะไรสักเรื่องทำไม่ได้เพราะว่าใช้ชื่อไม่เคยตรงกันเลย)  กรณีนี้ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

          2.ครูซิ้มกับครูจอย  จึงพากันไปปรึกษาเจ้าหน้าฝ่ายทะเบียนที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี  พร้อมทั้งครอบครัวของเด็กด้วย     เพราะสมุดสีชมพู่ของเด็กทั้งสองคน มีชื่อ พ่อกับชื่อแม่ ไม่ต้องกับพาสสปอร์ตที่มีอยู่  และที่สำคัญบัตรประจำตัวที่แม่คลอดที่โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี  เมื่อดูตามเอกสารแล้วไปปรากฏชื่อแม่   บัตรประจำตัวของแม่ก็หายสายสูญไป

          สิ่งที่ใช้ยืนยันได้อีกอย่างก็คือ หลักฐานบุคคลที่เห็นว่าแม่และเด็กมีครรภ์จริงๆ   หลักฐานบุคคลผ่านมาหลายปี ก็ไม่มีเพราะทุกคนย้ายที่ทำงานไปกันคนละทิศละทางหมดแล้ว  

          การมาเรียนรู้ครั้งนี้เหมือนมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไร  ซึ่งคงต้องมาอีกหลายครั้ง  ครั้งนี้จึงพากันกลับมาก่อน  แล้วกลับมาหาเพิ่มเติมว่ามีเอกสารอะไรอีกบ้าง

          3.การเดินทางมาโรงพยาบาลนพรัตนราชธานีอีกครั้ง  เพื่อขอคำปรึกษา และคำแนะนำ  และการสอบปากคำของครอบครัวโดยเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล  ทางเจ้าหน้าทีจึงให้คำแนะนำว่าแปลเอกสารที่พ่อแม่ที่มีอยู่ในตรงกับกับ ชื่อ พ่อ -ชื่อแม่...ตามเอกสารสมุดสีชมพู่ของลูก  โดยทางครอบครัวยินดีที่จะแปลเอกสาร  ซึ่งมีการคิดบริการแปลคนละ 350 บาท รวมเป็น 700 บาท  ครอบครัวของเด็กยินดีที่จะจ่ายเอง

          สิ่งที่ต้องคอยคือให้เจ้าหน้าที่แปลเอกสารให้เรียบร้อยก่อน  แล้วนัดวันรับเอกสาร พร้อมสอบปากน้ำของครอบครัวอีกครั้ง   ครูซิ้ม-ครูจอย  ถือเป็นการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่ง  คนที่จะแจ้งเรื่องทั้งหมดเป็นพ่อ-แม่ของเด็ก   ครูทั้งสองคนเป็นผู้อำนวยการให้เรื่องทั้งหมดดำเนินการได้

          4.ครั้งนี้ได้พาครอบครัวเด็ก มาโรงพยาบาลเป็นครั้งที่สาม มาตามนัดเพื่อสอบปากคำ  และให้การสัมภาษณ์อีกครั้งกับ เจ้าบ้านของโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี   แต่เจ้าบ้านเกิดป่วยกะทันหันจึงต้องมีการเลื่อนไปก่อนและนัดกันอีกครั้ง   แต่ครูได้เห็นว่าพ่อและแม่ให้ความสำคัญเรื่องเอกสารของลูกอย่างจริงจัง  และต้องการให้เด็กมีเอกสาร ได้เห็นความกระตื้อรื่นร้นอย่างมาก

          การสร้างความตระหนักให้กับพ่อแม่ของเด็ก  เป็นความสำเร็จในการกระตุ้นว่า ถ้าเด็กทั้งสองคนมีเอกสารใบเกิด  เงินที่จะเสียเดือนละ 4,000 บาท นำมาเป็นประโยชน์กับลูกในด้านอื่นได้ด้วย  และที่สำคัญเวลาป่วย การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน  และการรับวัคซีนเหมือนเด็กไทย  ประโยชน์ทั้งหมดเด็กได้รับอย่างเต็มที่   งานนี้เพื่อลูกสองคนเท่านั้น

          5.มีการโทรประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ขอคำปรึกษาขั้นตอนในการดำเนินการ ทั้งเอกสารที่แปล  และขั้นตอนในการรับใบเกิด  หรือมีเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานแทนเจ้าบ้านของโรงพยาบาล   เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการให้ทุกอย่าง  เด็กสองคนจึงได้ใบเกิด

          สำหรับครอบครัวนี้กว่าจะได้ใบเกิดให้ลูก  ต้องใช้เวลากว่าสี่อาทิตย์ ในการพากันประสานงานที่โรงพยาบาล  แนวปฏิบัติแต่ละหน่วยงานไม่เหมือนกันเลย  แต่คือประสบการณ์อีกรูปแบบหนึ่ง

 

          กรณีศึกษาปีที่ 3 แม่เด็กกับพ่อเด็ก เข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้ 2 ปี มีลูกสองคน คนโตอายุประมาณ 3 ปี เกิดที่ประเทศกัมพูชา ส่วนคนเล็กอายุประมาณ 8 เดือน  แม่กับพูดภาษาไทย และไม่รู้จักภาษาไทยเลย  เสียงเล่าลือสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบ้านพักของคนงาน คือการถูกคนไทยหลอกเอาเงิน เวลาที่จะทำเอกสารให้ลูก  คนเหล่านี้จึงเก็บตัวกันอยู่อย่างเงียบๆ   ยอมที่จะเสียเงินให้กับนายจ้างเดือนละ 4,000 บาท  และจ่ายค่ายาของลูก เพราะไม่กล้าพาลูกไปฉีดวัคซีนหรือรักษาตามสิทธิของเด็กที่มีอยู่  การทำงานคนเดียวรายได้จึงไม่พอ  อดมื้อกินมื้อ จึงเกิดขึ้น   แต่ครอบครัวนี้เน้นให้ลูกได้กินก่อน  รักลูกมาก  จึงพยายามที่จะหาคนที่พูดไทยได้มาสื่อสารกับครูซิ้มกับครูจอย   จนครูได้รับรู้เรื่องราวของครอบครัวนี้

          สิ่งที่ทางโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ดำเนินการ

          1.การสืบเสาะ ค้นหาข้อเท็จจริงของครอบครัว  โดยการรับรู้โดยการผ่านคนกัมพูชาที่สื่อสารไทยได้  พร้อมกับมีสมุดสีชมพู่ กับเอกสารที่เป็นภาษาไทยที่จะต้องไปดำเนินการ   จึงให้แม่ของเด็กเล่าเรื่องทั้งหมด ว่าเมื่อปวดท้องจึงพากันไปคลอดที่ โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกข(ชลประทาน) ที่ปากเกร็ด   นอนโรงพยาบาล 3 วัน  พยาบาลจึงให้ออกไปจ่ายเงินค่าคลอดลูก กับสงเคราะห์บางส่วน  หลังจากนั้นพยาบาลแนะนำว่าต้องไปดำเนินการขอใบเกิดที่เทศบาล  พร้อมกับส่งกระดาษบอกขั้นตอนการดำเนินมาให้หนึ่งแผ่น   ทั้งผัว-เมีย อ่านภาษาไทย พูดไม่ได้  จึงพากันกลับบ้านพัก มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561   แล้วไม่กล้าปรึกษาใครกลัวการถูกหลอกเพราะไม่มีเงิน  จึงเก็บตัวอยู่อย่างนี้   สื่อสารกับคนอื่นให้น้อยที่สุด

          จนมีคนในบ้านพักคนงานก่อสร้างเขาพูดกันว่า ครูทั้งสองคนมาสอนหนังสือ แล้วพาสองครอบครัวไปทำใบเกิดให้ลูกของเขาได้   ฉันจึงปรึกษาพ่อเด็กที่จะเปิดเผย และขอความช่วยเหลือในครั้งนี้   ครอบครัวของฉันลำบากมากไม่พอกินพอใช้  เพราะค่ายาตัวเล็กก็หมดแล้ว  ยิ่งทำยิ่งจน 

          2.เมื่อครูทั้งสองคนได้ข้อมูล พร้อมได้เอกสารขั้นตอนในการดำเนินการที่ สองผัว-เมียเก็บไว้เป็นอย่างดี  เหมือนเอกสารฉบับนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ  ครูซิ้มจึงอ่านให้พ่อแม่ของเด็กฟังที่ละข้อว่าต้องทำอะไรบ้าง   ครูทั้งสองคนจึงนัดครอบครัวไปโรงพยาบาลรับใบรับรองการเกิดก่อน เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561 ซึ่งทางโรงพยาบาลก็ดำเนินการให้ทันที  (ความจริงที่ทางโครงการฯหน่วยงานต่างๆที่เผชิญกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เป็นเรื่องยากที่สุด  กรณีศึกษาของโครงการฯอื่นค้างกันเป็นหลายสิบกรณีศึกษาด้วย)

          3.เมื่อได้ใบรับรองการเกิด ก็พากันไปติดต่อที่สำนักงานเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี  ไปติดต่อฝายทะเบียน  ครูได้บอกว่าพากรณีศึกษาทั้งครอบครัวมาทำใบเกิด ให้เด็กชายที (นามสมมุติ)  คลอดที่โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกข(ชลประทาน)  พร้อมบอกเหตุผลที่ครอบครัวเด็กไม่ได้มาดำเนินการแจ้งที่สำนักงานเทศบาลปากเกร็ด   เจ้าหน้าที่พยักหน้า   พร้อมได้ดำเนินการให้ โดยให้เด็กน้อยเด็กชายที  ปั้มหัวนิ้วโป้งทั้งซ้าย-ขวา  ลงในเอกสาร แล้วให้พ่อเด็กเซ็นเอกสารการแจ้งเกิด  พ่อเด็กเขียนเป็นภาษากัมพูชา  

          เด็กชายทีได้รับใบเกิดเป็นที่เรียบร้อย  ทั้งพ่อกับแม่ ก้มลงกราบครูทั้งสองคน ขอบคุณ ขอบคุณ ว่าช่วยครอบครัวของเขา ไม่ต้องเสียเงิน และที่สำคัญน้องทียังได้รับวัคซีนอีกด้วย

 

          จากกรณีศึกษา 3 ครอบครัว ช่วยเด็กลูกกรรมกรก่อสร้างต่างด้าว จำนวน 4 คน ได้รับใบเกิด สิ่งที่ปรากฏคือ ประโยชน์เหล่านี้ลงไปที่เด็ก

          1.ใบเกิดของเด็กได้รับการยืนยันว่า แม่ลูกครอบครัวนี้ เป็นครอบครัวเดียวกันด้วยมีเอกสารแสดงชัดเจน

          2.เด็กเมื่อมีใบเกิด/สมุดสีชมพู่ เด็กจะได้รับวัคซีนขั้นพื้นฐานเท่ากับเด็กไทย

          3.เมื่อมีใบเกิดขอเด็กแล้ว ประเทศไทยมีจำนวนตัวเลขที่แน่ชัด ในการจัดสวัสดิการต่างๆในอนาคต

          4.เมื่อถึงเวลาเข้าเรียน จะสะดวกขึ้น และโรงเรียนรับเด็กเข้าเรียน  ถือได้ว่าเข้าถึงการศึกษา

          5.สิ่งที่สำคัญ ครอบครัวไม่ต้องเสียเงินให้กับนายจ้างเดือนละ 2,000 บาทต่อ หนึ่งคน เป็นค่าคุ้มครอง 

          การทำงานของครูทั้งสองคน  ยังมีกรณีศึกษาอย่างนี้อีก 3-4 ครอบครัวเด็กกว่าสิบคน  แต่ยังค่อยๆดำเนินการไปที่ละกรณีศึกษา  เพราะมีความซับซ้อนหลายเรื่องด้วย