เมื่อคนต่างด้าวถูกหลอก....เด็กไม่ได้รับใบเกิด
ผู้จัดการโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก
ครูจิ๋ว หนูมีเรื่องปรึกษาด่วน กรณีศึกษาที่อยู่บ้านพักกรรมกรก่อสร้างซอยแสงระวี 5 หลังเมืองทอง แม่เด็กมาขอปรึกษาเรื่องใบเกิดของลูก ที่เกิดในประเทศไทย เมื่อ ปี 2555
ตอนนี้เด็กชายชาติ....ก็โตมากแล้ว หนังสือก็ยังไม่ได้เรียน ไม่กล้าพาออกไปไหนเลย เพราะกลัวการถูกจับ กลัวเวลาตำรวจเรียกดูใบเกิดของลูก กลัวไปหมด และตอนนี้ต้องเสียเงินให้นายจ้างอีกต่างหาก เดือนละ 2,000 บาท เพราะไม่มีใบเกิด
ครูคะ เดี๋ยวหนูจะเข้าไปเล่ารายละเอียดให้ฟังนะ
เพราะการทำใบเกิดให้ เด็กชายชาติ....ครั้งนี้ซับซ้อนหลายเรื่องด้วยกัน มีเรื่องการเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ครูจะเอาอย่างไรดี เพราะต้องใช้เงินอีกแล้วคะ...แต่มันคุ้มนะครูถ้าเด็กได้ใบเกิดที่แสดงตัวตน พร้อมทั้งได้รับสิทธิในการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน
ครูซิ้มมาเล่า ให้ฟัง ครอบครัวนี้ เข้าประเทศไทยมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2555 มาทั้งครอบครัวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย และได้มีโอกาสทำงานก่อสร้างที่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ในขณะนั้นเมียผมตั้งท้องลูกคนที่สาม ที่มาอยู่ในประเทศไทย ด้วยความเชื่อมั่นว่ามาเมืองไทยแล้วไม่อดตาย ขอให้ขยันจะมีงานให้ทำจำนวนมาก ตั้งแต่แบกขนตามบริษัท และที่หวังสุดท้ายคืองานกรรมกรก่อสร้าง
ผมทำงานคนเดียว ได้วันละ 300-400 บาท แล้วแต่ละวันมีงานล่วงเวลา (โอที) ก็จะเพิ่มขึ้น ได้รู้จักครอบครัวคนไทยที่ทำงานด้วยเป็นกรรมกรก่อสร้าง แถมด้วยอยู่บ้านพักด้วยกัน ห้องติดกันเลยคะครู นับถือกันเป็นพี่น้อง เพราะเข้าเมืองไทยก็ได้รับความเอื้ออาทรในการหางานให้ทำ ก็คิดเป็นเพื่อน/เป็นญาติ
เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2556 เมียผมปวดท้องที่จะคลอดลูก เพื่อนครอบครัวนี้ก็เอาเมียไปส่งที่โรงพยาบาล บางพลี ในช่วงนั้นผมไว้ใจครอบครัวนี้เป็นอย่างมากว่า ค่าคลอดทั้งหมด 7,500 บาท ผมให้ครอบครัวเขาไปจ่ายให้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือครอบครัวนี้จัดการเอาเงิน ไปมัดจำ จำนวน 1,000 บาทเท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่จัดการอะไรให้เลย นี้เป็นก้อนแรก
ก้อนที่สองบอกว่าต้องจ่ายอีก 6,000 บาท พ่อของเด็กก็ให้ไปอีก แต่ครอบครัวเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ก็ไม่ได้จัดการอะไรให้ เงินที่เหลือครอบครัวนี้ก็เฉยๆ
ก้อนที่สามบอกับพ่อเด็กบอกว่า ถ้าต้องการใบเกิดเด็กต้องจ่ายค่าทำใบเกิดอีก 5,000 บาท พ่อกับแม่เด็กบอกว่าเขาไม่มีเงินแล้ว แล้วไม่มีงานด้วย และพอดีกับที่ต้องการเปลี่ยนผู้รับเหมาใหม่ และย้ายที่ทำงานใหม่ จึงแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
เด็กชายชาติ......ซึ่งเกิดในประเทศไทย แต่ไม่ใบรับรองการเกิด ไปสู่การทำใบเกิด ตั้งแต่ ปี 2556 จนถึงวันนี้กว่า 6 ปีแล้ว
เมื่อเห็นเพื่อนๆที่เป็นชาวกัมพูชา ในแคมป์เดียวกันจำนวนกว่า 4 ครอบครัว ทำใบเกิดให้ลูกได้ จึงนำข้อมูล/ข้อเท็จจริง มาเล่าให้ครูซิ้ม/ครูจอยฟัง เพื่อขอความช่วยเหลือเพราะลูกโตแล้วยังไม่ได้ใบเกิด ฉีดวัคซีนก็ไม่ครบ แล้วไม่กล้าพาออกไปไหน เพราะกลัวถูกจับ ช่วงหยุดงานครอบครัวนี้จับเจ่าอยู่แต่ในบ้านพักกรรมกรก่อสร้าง
เวลาลูกป่วยก็แค่ซื้อยามากินกันเท่านั้น เพราะเหตุที่ว่าไม่มีเอกสารใดๆๆ เลย ว่าเด็กคนนี้เป็นทรัพย์สมบัติของครอบครัว และเป็นลูกของแม่คนนี้ ที่สำคัญทุกเดือนต้องเสียเงินอีก เดือนละ 2,000 บาท เป็นเงินที่มีค่าของครอบครัว เงินเหล่านี้จะได้ใช้ส่งไปดูแลลูกที่กัมพูชา ที่ได้เรียนหนังสืออยู่ ถึงจะน้อยสำหรับอีกหลายคน แต่เป็นก้อนใหญ่ของครอบครัว
สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลที่ให้ทางโครงการโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ดำเนินการ สำหรับกรณีศึกษา
1.เมื่อเจ้าหน้าที่โรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ ได้รับข้อมูลรายละเอียดของครอบครัวนี้ คุยรายละเอียด ทางโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ มีการเก็บข้อมูลสอบถามจากเพื่อนบ้านชาวกัมพูชา ซึ่งสามครอบครัวที่มาด้วยกัน เล่าเป็นเรื่องราวเดียวกัน ในเรื่องคนไทยหลอกเอาเงินค่าคลอดไปเป็นหมื่น ซึ่งกลายเป็นตัวอย่างที่ชาวกัมพูชา จะไม่กล้าพูดกับคนไทยที่ลงไปทำงานด้วย จากกรณีศึกษาของครอบครัวนี้เป็นตัวอย่าง และที่สำคัญคือการบอกข้อมูลที่เป็นจริง ทำให้ใบเกิดของเด็กมีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน เวลาประสานงานกับหน่วยงานก็จะสะดวกขึ้น
2.ทางครูซิ้ม เจ้าหน้าที่โครงการโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ มีการประสานงานไปทางโรงพยาบาลบางพลี จึงทราบว่า ใบรับรองการเกิดของเด็กยังอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะเหตุที่ว่าค้างค่าคลอดบุตร กว่า 6,500 บาท และใบรับรองการเกิดยังอยู่ สิ่งที่เป็นภาระหนักคือเงินที่ต้องจ่าย ทางครอบครัวของเด็กเองก็มีรายได้เพียงคนเดียว เงินก้อนอย่างได้หวังเลย และครอบครัวเด็กเองก็เศร้ากับเพื่อนคนไทยที่หลอกกันได้ เหมือนเป็นการทรยศหลักหลังกัน
3.ทางครูซิ้มได้นำเรื่องนี้มาปรึกษาพูดคุยกับหาทางออกกับ ครูจิ๋วเอง ซึ่งได้แลกเปลี่ยนตลอดจนหาข้อดีข้อเสีย ถ้าจะต้องช่วยเหลือกรณีศึกษา กรณีนี้อย่างไร เพราะเงินที่ครอบครัวเด็กชายชาติ....เสียไปก็เสียไปแล้ว ทางโครงการฯจะออกให้ก่อน หรือทั้งหมดก็ไม่ได้ จึงมอบหมายให้ครูซิ้ม ไปต่อรองกับทางโรงพยาบาลบางพลี ว่าจะขอความอนุเคราะห์ได้เท่าไหร่ ซึ่งครูซิ้มมีวาทศิลปะด้านการต่อรองที่เก่งมาก มีวิธีการพูดให้นักสังคมสงเคราะห์เข้าใจ ถึงความจำเป็นของครอบครัวนี้เป็นหลัก และที่สำคัญประโยชน์สูงสุดครั้งนี้อยู่ที่เด็กทั้งหมด เด็กได้ประโยชน์ว่าอยู่ในประเทศไทยอย่างมีตัวตน มีการยืนยันความสัมพันธ์ของแม่กับเด็ก เด็กได้เข้าถึงขั้นพื้นฐานในการรักษาพยาบาล การฉีดวัคซีนขั้นพื้นฐานกับเด็กทั่วไป ตลอดจนไม่ต้องเสียเงินให้คนอื่นมาไถเงินที่ควรเป็นสิทธิของครอบครัวได้ใช้ กลุ่มคนที่ทำงานบนหลังคนเอาเปรียบคนต่างด้าว อ้างเป็นเรื่องการคุ้มครอง สร้างความเกียจชังให้กับครอบครัวของเด็กว่ากลายเป็นผู้ถูกเอาเปรียบทุกอย่าง ทำงานเพื่อช่วยให้คนอื่นมีกินบนคราบน้ำตาของคนต่างด้าว
4.ครูซิ้มพาครอบครัวเด็กชาติ....ไปติดต่อที่โรงพยาบาล คือการสร้างความเข้าใจกัน ฝ่ายทะเบียนก็ยืนยันว่าถ้าต้องการใบรับรองการเกิด ก็ต้องจ่ายสตางค์ที่เหลืออีก 6,500 บาทให้ครบ และได้เห็นเอกสารของเด็กแล้ว สิ่งที่สำคัญมีเอกสารของเด็กอย่างชัดเจน แค่เงินตัวเดียวที่เป็นปัญหาสำคัญ แต่ก็สำคัญสำหรับทางโครงการฯมากด้วยจะช่วยสงเคราะห์อย่างเดียวทั้งหมดคงไม่ใช่คำตอบในสภาวะที่เงินบริจาคหายากมาก แต่ชีวิตเด็กก็สำคัญไม่แพ้กัน จึงกลับมาปรึกษาหารือกันอีกครั้ง
ครั้งที่สอง พาครอบครัวเด็กชายชาติ...กลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คือการขอการสงเคราะห์ค่าใช้จ่ายของเด็ก ทางโรงพยาบาล บอกเพียงว่า 2,000 บาท ขาดตัว ครูจิ๋วให้เงินครูซิ้มไปเพียง 1,500 บาทเท่านั้น ครูซิ้มจึงจัดการให้ไปอีก 500 บาท รวมทั้งสิ้น 2,000 บาท เป็นการอนุเคราะห์ครอบครัวนี้ เพราะเห็นสายตาที่วิงวอนของเด็กแม่เด็ก มันเจ็บปวดจิ๊ด จิ๊ด ดีแท้ สำหรับเพื่อนบ้านคนไทยที่เอาเงินเขาไป และที่สำคัญคือไม่มาจัดการเรื่องเอกสาร อย่างนี้ โกงกันชัดๆๆ เลย ชาวต่างด้าวเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยกันมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องขึ้นทะเบียนแรงงาน เรื่องต้องการให้คนไทยมารับรองการทำงาน ตลอดจนเรื่องการทำหนังสือเดินทางอย่างถูกต้อง
ครั้งที่สามที่ไปโรงพยาบาลบางพลี ครั้งนี้ครูซิ้มมอบเงิน 2,000 บาท (ครั้งนี้ครูจิ๋วเองก็เปิดจากตัวโครงการโรงเรียนเด็กก่อสร้างเคลื่อนที่ทั้งหมด เพราะของบประมาณบางส่วนในการช่วยเหลือกรณีศึกษาจาก กองทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์ ไว้ดำเนินการ) แล้วให้แม่กับพ่อของเด็กไปต่อรองกับฝ่ายทะเบียน ครูซิ้มรอลุ้นตลอดเวลาว่า ให้เงินบางส่วนจะสำเร็จแค่ไหน แม่เองก็ใช้วาทศิลปะที่พูดภาษาไทยได้นิดหน่อยเล่าปัญหาที่ประสบอยู่ในขณะที่ลูกไม่มีใบเกิด โดยเฉพาะเมื่อเวลาลูกต้องป่วย ต้องใช้เงินทั้งหมดที่พ่อหามาได้เพื่อรักษาชีวิตลูกไว้ เพราะคือสมบัติอันล้ำค่าของพ่อแม่ทำให้พวกเขาเกิดขึ้นมา การใช้ชีวิตในเมืองไทยก็ยากลำบากอยู่แล้ว แต่ก็ดีกว่ากลับไปประเทศต้นทางที่ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ เงินที่มีอยู่ก็แค่ประทังชีวิต เสียงฝ่ายทะเบียนว่าเขามีหน้าที่ที่ต้องทำแต่รายได้ของโรงพยาบาลให้คนต่างด้าวเยอะมาก กลายเป็นภาระหนี้สินเยอะไปหมด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเองก็ต้องแบกภาระ ถ้าทุกคนที่มารักษาช่วยกันจ่ายอย่างน้อย 1 ใน 3 ของค่าใช้จ่าย หรืออนุเคราะห์กันบ้าง ช่วยกันบ้างโรงพยาบาลก็อยู่รอด แม่เด็กรู้บ้างไม่รู้บ้างได้แต่พยักหน้าหน้าอย่างเดียว
สุดท้ายก็ได้ใบรับรองการเกิดมาแล้ว ทางโรงพยาบาลก็ส่งต้นขั้วทั้งหมดไปที่เทศบาลบางพลี ให้ครอบครัวเด็กชาติไปแจ้งเกิดย้อนหลัง
5.ครูซิ้มพาครอบครัวเด็กชาติ...ไปแจ้งเกิดย้อนหลัง เพื่อได้รับใบเกิด ต้องไปถึงสองครั้งด้วยกัน ครั้งแรกมีการสอบสวนให้ปากคำของพ่อกับแม่ ว่าเกิดที่โรงพยาบาล เพราะทิ้งห่างการแจ้งเกิดกว่า 6 ปี ครอบครัวของเด็กชายชาติ....ได้เล่าตามความเป็นจริงว่าถูกคนไทยที่เป็นเพื่อนบ้านหลอกเอาเงินไป จนทำให้ ไม่ได้รับใบรับรองการเกิด เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วเงียบมาเลย พูดแต่คำว่าน่าสงสาร
ครั้งที่สองไปเทศบาล คือไปรับใบเกิด
กว่าจะได้มาใบเกิดของเด็กชายชาติ....ใช้เวลาสามเดือนเต็มตั้งแต่นำเรื่องราวทั้งหลาย มาหาทางออกร่วมกัน เงินที่ต้องใช้ ทั้งค่าน้ำมันรถ ค่าอาหาร ค่าคลอดลูก ตลอดจนเวลาที่เสียไป แต่นี้คือประสบการณ์ในการลงมือทำของครูซิ้ม ที่มีโอกาสทำ ได้ลงมือทำอย่างเต็มที่ เพราะผลประโยชน์ทั้งหมดอยู่ที่เด็ก
สล็อตออนไลน์ เครดิตโบนัสได้เงินจริง slot938