banner
จันทร์ ที่ 23 เดือน มกราคม พ.ศ.2560 แก้ไข admin

ชีวิตเหมือนเคราะห์ซ้ำ....กรรมซัด ตอนที่สาม


 นางสาวทองพูล   บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

          ครูก็เริ่มตามหาเด็กหญิงไพ ว่าถูกส่งไปอยู่ที่องค์กรไหนกันแน่  ปีกว่าแล้วยังไม่ได้ทั้งเบอร์โทรศัพท์ และสถานที่ติดต่อ  ทุกครั้งที่เจอหน้าเจ้าหน้าที่ก็จะบอกว่าเดี๋ยวเอาเบอร์โทรศัพท์มาให้ เมื่อเลิกประชุมแล้วก็เงียบทุกครั้งไป

          สมศรี ช่วยครูหน่อย  เป็นองค์กรผู้หญิงที่มีหน่วยงานทำงานในห้องกักกันที่สวนพลู และมีเครือข่ายในการทำงานกับประเทศกัมพูชา

          มีเด็กหญิงไพ ถูกส่งไปประเทศต้นทาง กัมพูชา แล้วช่วยเช็คให้ครูหน่อยว่าเด็กอยู่หน่วยงานไหน  ครูและนางนีอยากรู้ และจะติดต่ออย่างไร  เด็กกับแม่แยกกันมาปีกว่าแล้ว  เพราะทางครอบครัวไม่ติดต่อเด็กไปหรือหน่วยงาน  บางหน่วยงานจะส่งเด็กต่อ

          สมศรีก็ใช้เวลาประมาณ หนึ่งสัปดาห์ รู้ว่าเด็กอยู่ที่องค์กรเอกชนที่ทำงานด้านเด็กและสตรี ที่ป้องกันการค้ามนุษย์ อยู่ที่ศรีโสภณ

          ถ้าเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่ดูแลเด็กก็อยากให้เด็กได้มีโอกาสพูดคุยกับแม่ของเด็กด้วย  เด็กได้เล่ารายละเอียดให้เจ้าหน้าที่ฟัง  ข้อมูลจากนักสังคมสงเคราะห์ไทยไม่ตรงกับ สิ่งที่เด็กบอกเล่า  ทางเจ้าหน้าที่กำลังตามหาแม่ของเด็กหญิงไพอยู่    เด็กหญิงไพได้มีการโทรศัพท์ติดต่อแม่มาประมาณ สามครั้ง  ได้พูคุยกับแม่เรื่องความเป็นอยู่ หรือมีบางครั้งก็ได้ถามไถ่ถึงน้องคนอื่นๆที่แยกย้ายกันอยู่ กันคนละที่ 

ทางเด็กหญิงไพเองก็คลายความเครียด คลายความคิดถึงน้องๆและแม่ไปได้บ้าง  ได้เข้าเรียน แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมบ้าน  เพราะบ้านไม่มีใครอยู่

          นางนีเองก็คลายความกังวลเรื่องลูกสาวคนโต ว่าได้อยู่อย่างปลอดภัยได้เรียนหนังสือภาษากัมพูชา  ได้เรียนหนังสือตามความต้องการของเด็กหญิงไพ  ถึงจะเรียนช้าแต่ก็ได้เรียน มันคือความฝันของเด็กตัวน้อย อยากอ่านออก เขียนได้


          สิ่งที่ตามสำหรับนางนี  คือ ต้องคลอดลูกคนที่ห้า ในสถานแรกรับ  แล้วจะเอาอย่างไร  เงินทองก็ไม่มี  คนที่เข้ามาอยู่ก็เยอะมาก มีทั้งเด็กทะเลาะกันพาลไปหาผู้ใหญ่   สถานที่ก็ไม่เหมาะสมกับเด็กอ่อนจะอยู่  พื้นห้อง มุ้งลวดขาดยุงเยอะมาก  อากาศก็อบอ้าวมาก  ที่สำคัญคนเยอะมาก

          กังวลสุดของนางนี  คือยังไม่รู้ชะตากรรม ว่าต้องอยู่ในสถานแรกรับอีกกี่เดือน กี่ปี   กำหนดชะตากรรมของตนเองและลูกแล้วจะเดินไปทางไหน  ไปไม่ถูก

          สามีของนางนีถูกตำรวจกัมพูชาจับเข้าคุกกัมพูชา ในข้อหารับจ้างตัดต้นไม้พยุงฝั่งไทย  และลักลอบขนไม่เข้าฝั่งกัมพูชา  ยังไม่รู้ว่าชะตากรรมอย่างไรเหมือนกัน

          สิ่งที่ครูทำได้  ให้คำปรึกษา  นำนม ขนม สิ่งของเครื่องใช้มาให้บ้างเป็นครั้งคราว ที่สำคัญ การสร้างกำลังให้ นางนีอยู่ให้ครบกำหนดในเรื่องฐานความผิด  ซึ่งครูเองก็ต้องบอกว่า นางนีไม่ได้ผิดตามที่กล่าวหามากขนาดนี้

          หลายคนถามครูว่าออกมาขอทานแบบนี้ ต้องถูกลงโทษขนาดนี้เลยหรือ

          พูดแบบไม่โทษใคร  ถือเป็นเพราะ “เวรกรรม”  หรือโชคชะตา ที่บางหน่วยงานเขาต้องการสถิติการจับกุม

          ถ้าจะเน้นแบบหลักการ ผู้บังคับใช้กฎหมาย  “ห่วยแตก”  ไม่ดูรายละเอียด เอาผู้บริสุทธิ์เข้าคุกแยกครอบครัวแบบนี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า ชาตินี้ละเวรกรรม  คงตามทัน

          การที่คนท้องอายุครรภ์ประมาณ 8 เดือน กว่าจะลุกจะนั่งก็อืดอาด ไม่คล่องตัว ลูกชายของนางนีก็ใช่จะว่าง่าย  ดื้อเงียบ แถมเวลาเล่นก็เล่นอย่างแรงด้วย การไปกระทบเด็กคนอื่นแล้วทะเลาะกับคนอื่นมีโอกาสสูง  เมื่อเด็กทะเลาะกันก็จะพาลไปถึงกลุ่มแม่ แม่ ทั้งหลาย ถือหางลูกตัวเอง

          เด็กชายนิว เคยตามแม่ออกมาถนน ที่อยู่บนสะพานลอยหน้าห้างพันธุ์ทิพย์พล่าซ่า  เจ้านิวจะเดินขึ้น-ลง สะพานลอยตลอดเวลา  ตกสะพานลอยนับครั้งไม่ถ้วน  จนนางนี ต้องฝากให้อยู่กับยายที่บ้านเช่า  แขกหัก ขาหัก เป็นประจำ  ด้วยเด็กชายนิวเป็นเด็กที่มีพลังมา และอยากเรียนรู้อยากรู้อยากเห็นไปหมด

          ความอยากรู้ อยากเห็น เช่นการปืนป่ายบานหน้าต่าง  บางครั้งก็ทำมุ้งลวดเขาเสียหาย  การเล่นว่างพื้นห้อง เท้าจะต้องไปเหยียบคนอื่นเขาหรือกระทบเด็กคนอื่นเขา  เป็นเรื่องปกติ  ถ้ามีการขอโทษ หรือไม่ถือสาเด็ก เรื่องทั้งหมดก็จบ  แต่ถ้าของเด็กพาลกลายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ก็จะกลายเป็นทะเลาะกัน  กลายเป็นเรื่องใหญ่โต

          ทางเจ้าหน้าฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ได้ส่งตัวนางนีพร้อมลูกออกมาอาศัยชั่วคราว ที่บ้านพักเด็กและครอบครัว  เพื่อให้ได้มีโอกาสไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล พร้อมกับสถานที่เหมาะสำหรับการเลี้ยงดูเด็กอ่อน

          นางนีคลอดลูกคนที่ห้า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์   ได้ลูกผู้หญิงชื่อน้องจูเนียร์    ตัวใหญ่จ้ำหม่ำมาก เป็นเด็กที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน  แต่เป็นเด็กที่เงียบหลับตลอดเวลา  ไม่กวนแม่เลย 

          แต่ดูความกังวลของแม่กลับมีมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะความกังวลกับพ่อของเด็ก  นางนีจะบอกตลอดเวลาว่า พ่อของจูเนียร์ยังไม่เคยเห็นลูกเลย  ลูกน่ารักน่าชัง  อยากกลับบ้านกัมพูชา แต่ก็กังวลเรื่องลูกที่ยังอยู่  คดีความก็ยังไม่จบ

          สิ่งที่ส่งผลกระทบก็คือ  กลุ่มคนกัมพูชาที่พาลูกออกมาขอทาน กว่า 30 ครอบครัว ที่เข้ามาอยู่ในสถานแรกรับ กลุ่มคนเหล่านี้ออกไปหมดกันแล้ว  มีญาติมาเยี่ยมมาฝากของไว้ให้แต่ทำไม  กับครอบครัวนางนี ยังไม่มีโอกาสจะออกไปไหนเลย  เวลาก็นานกว่า 5 เดือนแล้ว

          เมื่อมีการส่งกลับ ไปยัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อการผลักดันกลับประเทศ  นางนี จะมีอาการน้อยเนื้อต่ำใจอยู่เสมอ


          บางครั้งอาการเครียดมีมาก จนกลายเป็นไม่สบายขึ้นมากเอง จะส่งผลกระทบกับลูก   เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์จะรีบประสานงานกับครู เพื่อได้ไปเยี่ยมมีโอกาสพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด  เพื่อชดเชยความรู้สึก หรือบางครั้งก็ก็ให้กำลังใจกัน

          การพูดคุยหรือบางครั้งก็มีการผิดระเบียบบ้างใช้โทรศัพท์ของครู โทรกลับไปหาแม่ที่กัมพูชา  เพื่อได้รับรู้ว่าอยู่กันอย่างไร  สามีออกตามหาบ้างหรือเปล่า  แต่ละครั้งก็เหมือนช่วยให้นางนี ได้มีกำลังใจ

          สำหรับครูเองก็เศร้าใจ  กลับมาต้องบำบัดตัวเองเหมือนกัน  คือการหาทางออกไม่เจอ และที่สำคัญ รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่า งานนี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างจงใจเพราะกระบวนการทางกฎหมาย และผู้บังคับใจกฎหมายอย่างเด่นชัด  แต่พูดอะไรไปก็เหมือนว่าไม่ไว้ใจคนบังคับใช้กฎหมาย  หรือด่าคนกันเอง  แต่งานนี้มันละเมิดกันจริง

          ครูเองก็พยายามทั้งปลอบโยน หาแนวทางเอื้ออาทร ให้นางนีคลายความกังวล  ให้อยู่ต่อเพื่อพ้นโทษที่นางนีไม่ได้ทำ แต่ให้มันหมดตามขั้นตอนของกฎหมาย

          ครูเองก็จะพบอัยการทุกครั้งที่หน่วยงานเขานัด  เพื่อให้ความเป็นกันเอง ให้นางนีคลายความทุกข์ใจ  นางนีกลัวที่สุด  คือการส่งตัวเข้าไปติดคุกอีกครั้ง ห่วงลูกที่ยังเล็กอยู่ว่าจะส่งไปอยู่ที่ไหน  นางนีจะร้องไห้ตลอดเวลาที่รถตำรวจมารับไปพบอัยกา

          นางนีบอกกับครูว่า  ถ้าไม่มีครูมาด้วยนางนีกังวลและเครียด  บางครั้งอุ้มเจ้าจูเนียร์มาด้วย 

          พอก้มหน้าน้ำตาก็ร่วงใส่หน้าลูกตัวเล็ก    ลูกเหมือนจะลูกลูกจะพยายามดิ้นให้แม่กอดเต็มอ้อมกอด  หรือบางครั้งพอแม่หันหน้ามาก็จะพบรอยยิ้มของลูกรออยู่   เขาเหมือนลูกเลยนะครู

          ตัวเล็กเองเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย  แต่ใจของนางนี ไม่ปกติ  จะมีอาการหงุดหงิด  พยายามสวดมนต์นั่งสมาธิ  แต่พูดนั้นได้ แต่ทางปฏิบัติมันยากมาก

          ก่อนวันที่จะไปพบอัยการ  นางนีชอบนั่งพูดคนเดียว  นอนไม่หลับ  เศร้าซึม  ไม่พูดจากับใคร  เพราะไม่รู้ว่าวันรุ่งขึ้น จะได้กลับมาหาลูกหรือเปล่า

          การพรากลูกไปอยู่ แล้วบอกว่าให้เด็กได้รับการคุ้มครอง  บางครั้งเข้าใจหัวอกแม่บ้างไหม  แม้ทุกข์แค่ไหน  รู้ทั้งรู้ว่าหน่วยงานดูแลเด็กดีแค่ไหน  แม่ลูกก็อยากอยู่ด้วยกัน  เป็นความปรารถนาของแม่นี  แต่ตัวบทกฎหมายที่ปฏิบัติต้องแยก  ยิ่งคดี “ค้ามนุษย์”  ยิ่งไม่ให้พบกัน  ใช้แนวปฏิบัติที่ถูกต้องหรือไม่ คำถามที่หาคำตอบไม่ได้  หรือไม่มีเสียงตอบรับจากปลายสายที่ท่านเรียก

          แม่นีเล่าให้ฟังครูฟังอย่างไม่อาย บางครั้งมีการแว๊บขึ้นมาในหัวทิ้งลูกทั้งหมดไว้ที่เมืองไทย  แล้ววิ่งหนีออกไป จะไปรอดไม่รอดไม่รู้  รู้อย่างเดี๋ยวว่ามันทรมานกับการรอคอย

          ไม่รู้ว่าชะตาชีวิตจะเอาอย่างไร  บางคืนนอนร้องไห้แบบไม่ให้มีเสียงสะอื้น  กลัวลูกตื่นมาได้ยิน  อยากให้ลูกได้กลับไปเห็นหน้าพ่อ

          ครูรู้ไหมช่วงที่แม่นีไม่สบายมาก  ตอนนั้นแม่นีคิดว่าเอาชีวิตมาทิ้งเมืองไทยแล้ว  ขอยาเจ้าหน้าที่มีแต่ยาพาราก็จนไม่รู้จะแก้อะไร

          ดีที่มีครูมาเยี่ยม เป็นเพื่อนยากเลย  ครูไม่ทิ้ง แม่นีกับลูก  ครูห่วงความกังวลของแม่นี  มาคุยที่ไรก็ก็จะให้แง่คิดในการสู้ชีวิตต่อ 

          แม้แต่คำเตือนว่า ถ้าแม่นีจะหนีออกก็ไม่ว่าหรอก แต่สิ่งหนึ่งที่จะเป็นตราบาปกับแม่นีไปตลอดคือ  ลูกจะคิดว่าแม่ไม่รัก  ทิ้งเขาไว้ในแผ่นดินที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน   ตอนโตเขาจะไปไหนก็ไม่ได้  ประเทศบ้านเกิดก็เข้าประเทศไม่ได้  อยู่เมืองไทยก็ไม่ใช่พลเมืองของไทย  กลายเป็นคนเถื่อนที่มีตัวตน  แต่ตัวตนเหล่านี้ไม่มีค่าของประเทศไหน  ใครใครก็ไม่เอาผลักกันไปผลักกันมา ตกลงเด็กเหล่านี้ลูกหลานของแผ่นดินไหน

          ตอนนี้แม่นีเครียด กังวล  แต่ลูกของแม่นีจะรับกรรมทั้งหมดที่พวกเขาก็ไม่ได้ก่อกันไว้   แม่นีใจเย็น เย็น  ครูเองก็ร้อนรุ่มไม่น้อยไปว่ากันหรอก  เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องด้วยกันหลายฝ่าย  หลายหน่วยงานยังตีโจทย์เรื่อง”ค้ามนุษย์”ไม่แตก เพราะเกี่ยวข้องกับเงินนำจับด้วย 

          แม่นี ก็เล่าต่อว่าบางคืนนอนเบิกตาโพล่งมองเพดาน ถึงแม้จะได้นอนกอดลูกสาวคนเล็กไว้แนบอก แต่ความคิดมันฟุ้งซ่าไปไกล  คิดถึงลูก เด็กหญิงไพ  เด็กชายชัย เด็กชายขวัญ  เด็กชายนิว ที่นอนอยู่ข้าง ข้างแม่  ด้วยความเป็นเด็กเขาจึงไม่รู้สึกถึงความทุกข์ของแม่นี

          เด็กชายนิว บางครั้งที่เขาตื่นเห็นน้ำตาแม่นี  เขาลุกขึ้น เอามือน้อย น้อย มาลูกหน้าแม่นี  น้ำตาที่ไหลเอ่อ  มันเลยกลายเป็นทะลักออกมาเป็นสาย  เจ้านิวก็จะเอามือโอบกอดของเด็กโถมตัวกอดด้านหลังของแม่นี   ด้านหน้าจะแม่นีกอดน้องจูเนียร์ไว้แนบอก  แล้วบอกว่าผมจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อ ไม่ซน ให้แม่นีต้องทุกข์ใจอีกนะ

          แม่นีก็จะเอามืออีกข้างลูบหัวเจ้านิว  หลับคาแผ่นหลังของแม่

          แม้สิ่งเหล่านี้จะรดรินให้หัวใจของแม่นี ชุ่มชื่นใจเป็นบางครั้ง บางคราว   แต่ความกังวลการที่ครอบครัวแตกระแหง จะมีโอกาสพบกันเมื่อไร   แม่นีจะให้กำลังใจตนเองว่าอีกไม่นานจะได้อยู่พร้อมกัน ขอให้เวรกรรมที่ทำในชาตินี้ หมดกันเสียที

          สิ่งที่ช่วยแม่นี  คือการสวดมนต์  บางคืนต้องนอนสวดมนต์ จนหลับพร้อมคราบน้ำตา