banner
พฤหัสบดี ที่ 20 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2561 แก้ไข admin

นอนบนถนน... กับแม่และเด็กเร่ร่อน



 นางสาวทองพูล    บัวศรี

ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน  มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

 

          เสียงโทรศัพท์ที่ดังลั่นบ้าน  ในขณะที่ครูเองกำลังถางหญ้า/ตัดหญ้าอยู่สวนในบ้านที่อยุธยา  วันนี้ขอหยุดงาน 1 วัน เพื่อไปทำงานแทนวันหยุดระหว่างสัปดาห์

          ครูจิ๋วรู้จักกรณีศึกษานี้ไหม   ชื่อนางสาวปวีณา  รัตนสากล มีลูกสาว ชื่อเด็กหญิงทิพเกสร  รัตนสากล  ที่นอนกันอยู่สะพานลอยห้างพันธุ์ทิพพล่าซ่า   ได้รับเรื่องร้องจากประชาชนทั่วไป  เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ  เจ้าหน้าที่สถานทูตอินโดนิเซีย    เจ้าหน้าที่ DSI   เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลปทุมวัน   เจ้าหน้าที่เทศกิจ ประชาชนทั่วไปที่เดินผ่านไป-มา  กำลังเป็นเรื่องที่น่าสนใจของคนทั่วไปอีกครั้ง   กรณีศึกษาเขายืนยันว่ารู้จักครูจิ๋วเป็นอย่างดี   เอาอย่างไรครู....  ให้กรณีศึกษานี้ไม่ถูกร้องเรียนว่ามายึดที่สาธารณะเป็นบ้านของตัวเอง   ผิดกฎหมาย 2-3 ฉบับนะครู       

          เช้าที่มึนงงอย่างมาก วันนี้มีแต่กรณีศึกษาที่ยังหาทางออกไม่ได้   ด้วยได้รับเอาลูกสาวมาอยู่แล้ว 1 อาทิตย์  กำลังจัดการเรื่องการเรียนของเด็กพร้อมผลการเรียน และย้ายเด็กเพราะด้วยนโยบายที่ต้องการจัดการรายชื่อผีของเด็กนักเรียน     รายชื่อของเด็กหญิงอริสา  รัตนสากล  ถูกตัดชื่อออกจากโรงเรียนไปเดือนกว่าแล้ว   เพราะตั้งแต่ปลายเทอมการศึกษาที่แล้วเด็กน้อยหายมากับแม่ที่กรุงเทพแล้วไม่ได้ย่างกายกลับไปโรงเรียนอีกเลยกว่า 4 เดือนแล้ว

          ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนบอกว่าจะรีบจัดการให้โดยด่วนในการย้ายโรงเรียน   ได้ส่งเด็กเข้าเรียนอีกครั้งที่โรงเรียนวัดหลักสี่   แต่ผลการเรียนมีเพียงว่าเด็กผ่านอะไรบ้างเท่านั้น  แต่สมุดสีเหลืองตัวจริงต้องรีบดำเนินการต่อ



          ชุดนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1  น้องอริสา  บอกว่าเป็นชุดที่เด็กใฝ่ฝันที่อยากกลับมาใส่อีกค่ะ  เป็นการปรับตัว สู่ความเป็นระเบียบอีกครั้ง  แต่ครูก็จะบอกว่า  เวลาที่อริสา หิว  เด็กก็จะเดินออกจากห้องไปกินข้าวทันที  บอกเพียงว่าอริสาหิว    ความเคยชินที่อยู่บนถนนหลายเดือน หิวเมื่อไรก็กินทันที หรือขอเงินได้ก็กินทันที   ทุกอย่างทำตามใจที่ตนเองกำหนดเอง  ส่งผลถึงเพื่อนๆในห้องเรียน  ครูประจำชั้นปวดหัวเป็นอย่างมาก

          การจัดการกับกรณีศึกษานี้  ครอบครัวนี้ ทุกหน่วยงานโดนต่อว่าจากครอบครัวนี้มาแล้ว   เพราะเคยถูกจับในกรณี "ค้ามนุษย์"   แต่ครอบครัวนี้เพียงขายของบนสะพานลอยเท่านั้น  ความเจ็บปวดของแม่ยังตราบตรึงอยู่ในใจของแม่ตลอดเวลา  เหมือนการสร้างตราบบาปในใจให้เด็กหญิงทิพเกสร ที่ต้องคลอดในเรือนจำ   แม่ลูกต้องแยกกันอยู่กว่า 8 เดือน ถึงจะกลับมาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวอีกครั้ง  มันคือกฎหมายที่พรากความเป็นครอบครัวออกไป

          ก่อนที่จะขนข้าวของทั้งหลายมากองอยู่ที่หัวสะพานลอย  เคยพากันไปนอนที่ สะพานลอยอนุสาวรีย์   มีบุคคลที่ใจดี พาไปเข้าพักที่บ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร  แต่เมื่อไปถึงบ้านพักเด็กและครอบครัวฯ  ทางครอบครัวนี้ไม่ยอมที่จะอยู่  บอกเพียงว่า เขามีสิทธิอยู่บนถนน  เขาไม่ได้มีความผิด เพียงแต่เขาไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าเช่าห้อง  ที่เป็นรายวันและเดือน  มันเป็นภาระต่อเขาอย่างมาก




          หน่วยงานทุกหน่วยงานต้องการให้ครอบครัวออกจากพื้นที่โดยด่วน  ทั้งศูนย์ปฎิบัติการควบคุมการขอทาน หน่วยงานเทศกิจ  ตำรวจในพื้นที่  ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพสตรีและเด็ก   แล้วทุกคนก็คาดหวังว่าครูข้างถนน จะดำเนินการได้   โดยบอกว่าเขาอ้างชื่อครูตลอด  ตอนนี้ทุกหน่วยงานไม่มีใครกล้าที่จะจัดการเด็ดขาด  เพราะฟังเขาเล่าเรื่องในอดีตแล้ว  ทุกหน่วยงานถอยมาตั้งหลัก โทรปรึกษาครูอย่างเดียว

          เมื่อคืน วันที่ 4 ธันวาคม 2561 เวลาเกือบตีสาม  ครูก็เดินทางมาพบกับครอบครัวนี้ที่หัวสะพายลอย  ทั้งแม่และลูกนอนหลับอย่างสบายดี มีลมเย็นๆพัดมาเป็นครั้งคราว

          ที่นอนที่ปูด้วยผ้าห่มจำนวนสองผืนที่วางทับกัน  หมอนข้างก็เป็นผ้าห่มผืนเล็กๆๆอีกสามผืน  มีหมอนที่หนุนหัวคนละใบ  เด็กน้อยที่ผมหยิกตาสวยเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้นอนทับแขนของแม่  บนหัวที่หันออกมาทางเดินมีกล่องบริจาครับเงินที่ตั้งอยู่ นอนหลับสบายเปรียบเสมือนนอนที่บ้านหลับสนิทมากคะ

          ครูเองหย่อนตัวเองนั่งบันไดด้างข้างเก็บขนมกับขวดน้ำไปว่างไว้ข้างล่าง  เอาผ้าห่มที่ติดตัวมาปูที่พื้นบันไดเรียงกันตามขั้น  เอาหน้ามานอนพาดบันไดขั้นที่สูงที่สุด  พยายามข่มตามให้หลับเพราะเดินมาหลายชั่วโมงและก็ง่วงมากด้วย เพราะเวลาก็ย่างเข้าตีสามแล้ว 

หลับไม่ได้สักครึ่งชั่วโมงได้ ก็มีเสียงมอเตอร์ไซด์เป็นสิบคัน  ที่วิ่งแข่งกันทะยาดฟ้า เสียงดังสนั่นลั่นเมืองกันไปทางถนนเพชรบุรี  แต่ผู้คนก็ยังเดินระหว่างสะพานลอยตลอดทั้งคืน  ขอนอนอีกหน่อยแล้วกัน  เอาเสื้อที่ใส่คลุมหัวอีกครั้ง  หลับได้อีกประมาณครึ่งชั่วโมงเหมือนเดิม

ต้องลุกจากที่นอนมานั่งรับลมที่โชยมาที่ทางขึ้นสะพานลอย  ตรงหน้าห้างพันธุ์ทิพพล่าซ่า มีแสงไฟฟ้าที่สว่าง  พร้อมกับกระเป๋าที่ติดตัวมาด้วย  มีนักท่องเที่ยวชายเดินผ่านเป็นระยะ  ทุกคนหันมามองหน้าครูที่แต่งตัวรัดกุมอย่างมาก  แถมมีเสื้อกันหนาวที่คลุมตั้งแต่หัวจนถึงเอว

สวยตาที่มอง  มองแล้วมองอีก  เหมือนมีคำถามที่ออกมาจากสายตา เธอคือใคร มานั่งทำไหม  มานั่งขายบริการหรือ  แต่ทำไมปิดหน้าปิดตาแบบนี้   มีเสียงคนไทยที่ชายวัยกลางคนคุยกันว่า มานั่งเกะกะอะไรตรงนี้ ทางขึ้น-ทางลงบันได   แต่ตรงนี้มันคือความปลอดภัยที่สุด เพราะไฟสว่าง  อยู่ที่สูง สามารถมองเห็นทุกอย่างได้  และบันไดชันมาก  ใครจะทำอะไรพลาดนิดเดียวตกบันไดทันที




จึงเข้าใจแม่ลูกคู่นี้เป็นอย่างดี  เพราะคนที่จะขึ้นสะพานลอยก็ต้องเกาะราวบันไดขึ้น เพราะชันมาก  เวลาที่จะลงก็เช่นเดียวกัน  และที่สำคัญทุกด้านรอบด้วยลูกกรง จะมีแค่ทางขึ้น-ทางลง สองข้างเท่านั้น  สถานที่จึงมีความปลอดภัย จากคนทั่วไป

ครูหันกลับมานอนที่เดิมอีกครั้งเพราะเพลีย  มานอนรอให้สองแม่ลูกตื่นขึ้นมา เพื่อจะมาคุยกันเรื่องอนาคต ว่าจะเอาอย่างไร  การมาเอาพื้นที่หัวสะพานลอยเป็นเสมือนบ้านของตัวเองไม่ได้เพราะเป็นพื้นที่สาธารณะ   ถ้าจะมานอนเป็นครั้งคราวได้  แต่ที่แน่ๆเธอยึดมาแล้วสองเดือน  จนมีชื่อเธอร้องเรียนจากประชาชนไปทั่วทุกหน่วยงานที่ทำงานด้านสังคม

ครูกับมานอนคิดจริงๆ พื้นที่ตรงนี้มันเหมาะสำหรับนอน  มองดูท้องฟ้าก็เห็น พอละสายตาก็เห็นสีแสง ของตึกรอบประตูน้ำ  แต่ก็ยังมีแม่ลูกสองคนนอนใจกลางเมืองประตูน้ำ  ที่หลับสนิทเหมือนนอนในห้องที่กว้างใหญ่ไพศาล  มีผู้คนเดินผ่านก็เหมือนมียามเฝ้าความปลอดภัยให้  ชีวิตที่มีความสุขสะท้อนให้เห็นเรื่องราวเล่าขานได้อย่างดี  บทเรียนชีวิตในพื้นที่ ที่ปลอดภัยที่สุด

ตีสี่กว่าคนเริ่มพลุกพล่าน เพราะตลาดขายส่งเสื้อผ้าตอนเช้าเริ่มมีคนจากต่างจังหวัดนำรถเข้าจอดตลอดเส้นทางถนนเพชรบุรี   มีคนจำนวนมากที่มารับซื้อเสื้อผ้าขายส่ง    แต่สองแม่ลูกก็ยังนอนหลับอย่างสนิทต่อ  ไม่เดือดร้อนที่เสียงดังมากมาย 

สำหรับครูเองต้องตื่น นอนต่อไม่ได้แล้วเสียงดังทั้งรถรา ผู้คน ที่ออกทำมาหากิน  หันไปมองสองแม่ลุกหลับสนิท  เหมือนไม่ได้ยินคนมากมายที่เขาออกทำมาหากินกันแล้ว หรือนกน้อยที่ออกจากรังบินไปตามอาหารตามสถานที่ต่างๆ   คนก็เหมือนกันบอกว่ายิ่งตื่นเช้าก็จะได้งานมากขึ้น  เป็นจริงดังคำพูด  คำพูดเหล่านี้ยายของครูจะสั่งสอนลูกหลานทุกคน  ให้นอนดึกแค่ไหนก็ต้องหันตื่นเช้า


อาการปวดท้องเริ่มมาเยี่ยมเยียนครูแต่เช้ามืดเป็นประจำ  แล้วจะทำอย่างไรดี ห้างสรรพสินค้าก็ยังไม่เปิดสักแห่งหนึ่งเลย   ครูเลยไปถามที่โรงแรมขอเข้าห้องน้ำ   ยามถามว่าเป็นคนเร่ร่อนหรือเปล่าจึงบอกว่าเปล่า  มาทำธุระแต่เช้ามืด  จึงได้เข้าห้องน้ำที่โรงแรม

คนที่ไร้บ้าน คนเร่ร่อน  ที่ปัสสาวะกันที่ใต้สะพานลอย อุจจาระตามที่สาธารณะก็ด้วยเหตุนี้แน่นอน   เพราะเวลาปวดแล้ว โรงแรม หรือห้างสรรพสินค้า ไม่ให้เข้าห้องน้ำ  เจอกับตัวครูเอง  มีบางคนบอกว่าขี้ใส่ถุงพลาสติกแล้วใส่ลงถังขยะ  เจ้าหน้าที่เก็บขยะจะด่าเอา  ด่ากันเป็นประจำ ร้านค้าที่เอาขยะมาทิ้งก็ว่าเอาเหมือนกัน   เวลาปวดต้องอดทนเอาไว้

สำหรับแม่เด็กกับเด็กน้อยบอกจะตื่นกันประมาณเจ็ดโมง แล้วนั่งรถ 62 ไปอนุสาวรีย์ อาบน้ำซักผ้าห้องน้ำสาธารณะครั้งละ 10 บาท สองคน ต้องเสียค่าห้องน้ำประมาณ 50 กว่าบาท  สำหรับคนที่มีลูก  ไม่อย่างนั้นกลิ่นตัวของคนไร้บ้านมันส่งกลิ่น  กลิ่นมันเหม็นเปรี้ยว คนไร้บ้านด้วยกันจะรู้ว่าคนนี้นอนถนน 

ครูเองประมาณตีห้า ห้าสิบไม่ไหวแล้วต้องลุกขึ้นหิ้วกระเป๋าตัวเองไม่ปลุก แม่กับเด็กด้วยมาครูมานอนด้วยเพราะมีอาการเตือนปวดท้องหนัก  ลงสะพานลอยเรียกแท็กซี่กลับมูลนิธิฯทันที   และรุ่งขึ้นเป็นวันตายของพ่อที่ต้องไปทำบุญวันตายให้พ่อด้วย   จึงกลับมาปล่อยทุกข์ที่มูลนิธิฯ

บทเรียนคืนนี้บอกได้อย่างเดียว ความสุขของคน  คือคนที่นอนได้ทุกที่แล้วหลับอย่างสบายเช่นสองแม่ลูกคู่นี้

เรื่องการจัดการสองแม่ลูกออกจากพื้นที่  ครูเงียบไปทุกหน่วยงานก็เงียบ